เว็บไซต์มีการใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและการตั้งค่าคุกกี้ได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้
สัมภาษณ์พิเศษคุณ “มะมุก” กุลธิดา กันต์พิทยา หรือที่รู้จักกันจากแฟนเพจเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม “เพนกวิ้นรีวิว GuinHungry” บล็อกเกอร์คริสเตียนด้านอาหารชื่อดัง โดยเธอได้เล่าถึงเส้นทางการเริ่มต้นการทำเพจรีวิวอาหารตั้งแต่อยู่ปี 1 และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอได้รู้จักและเชื่อในพระเจ้าในช่วงโควิด-19 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ เธอยังแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับการร่วมก่อตั้ง HATO แพลตฟอร์มพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแบ่งปันความรู้สึก และบทบาทของเธอในฐานะวิทยากรด้านสุขภาพจิตกับ YWCA ประเทศไทย
พูดคุยถึงการใช้ความสามารถและแพลตฟอร์มของเธอ เพื่อรับใช้ผู้อื่น และมุมมองที่มีต่อการทำงานและการใช้ชีวิตโดยรวม เป็นประจักษ์พยานถึงพระพรของพระเจ้าในทุกแง่มุมของชีวิต
“กวิ้นฮังกรี้” จากเด็กต่างจังหวัดสู่บล็อกเกอร์อาหาร
“ตอนมุกเริ่มทำเพจ “เพนกวินรีวิว GuinHungry” ตอนแรกๆ อะค่ะ มุกเริ่มตอนมุกอยู่ปี 1 ตอนนั้นเป็นเด็กที่มาจากต่างจังหวัด มาจากอุดร แล้วก็มาเรียนที่กรุงเทพค่ะ เรียนที่ ม.เกษตร บางเขน แล้วตอนนั้นช่วงประมาณปี 1 อ่ะ มุกก็ติดตามเพจที่เป็นพี่เขารีวิวในกรุงเทพฯ นี่แหละค่ะ แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองอ่ะชอบเกี่ยวกับอาหาร เพราะที่บ้านเราชอบกิน ตอนแรกมุกก็เลยทำเป็นเหมือนโพสต์รูปอาหารอะค่ะ แล้วก็รีวิวลงใน Instragram ส่วนตัว
“แล้วพอเหมือนแบบรีวิวไปสักพักนึงรุ่นพี่ก็บอกว่าเอ้อ ไปกินตามเรามาแล้วอะ แล้วเรารู้สึกว่า เออ อร่อยนะ แล้วก็ที่เราถ่ายรูปอะมันดี ก็เลยเหมือนพี่เขาก็ถามว่า เอ้อ ทำไมเหมือนแบบไม่ลองเปิดเพจดูอะไรอย่างเงี้ยค่ะ ตอนนั้นก็เลยรู้สึกว่า ไม่ได้มองว่าการเปิดเพจคืออาชีพ แต่มองว่าเราอยากจะเหมือนแบบเก็บความทรงจำเกี่ยวกับอาหารหรือว่าสถานที่ที่เราไปกินในเหมือนในเพจนั้นๆ ตอนแรกเราก็เลยเริ่มต้นทำใน Instagram ค่ะ ตอนแรกอ่ะเราไม่ได้ชื่อกวิ้นฮังกรี้ด้วย ตอนแรกมันชื่อว่า “กินอะไรดี” เป็นอะไรที่แบบดูธรรมดาๆ มากเลยใช่ไหมคะ แต่ว่าพอทำไปสักพักนึงเรารู้สึกว่า ชื่อเนี้ยมันไปซ้ำด้วย ก็เลยมาถามเพื่อนสนิท ว่าเราอยากให้มีความเป็น Unique มากขึ้นเราจะยังไงดี แล้วเราก็เลยคิดถึงสมัยช่วงที่เราอยู่ ม.ปลาย เพื่อนสนิทเราตอนนั้นน่ะค่ะ เขาบอกว่าเราเหมือนเพนกวิน เพราะว่าเราค่อนข้างเป็นเด็กอ้วน แล้วเราก็ชอบเดินเหมือนแบบประมาณนี้แล้วก็ใส่ฮู้ดสีดำตัวใหญ่ๆอะไรประมาณนี้ค่ะ แล้วตอนนั้นก็เลยรู้สึกว่าอยากได้คำว่าฮังกรี้ แล้วเราก็เลยหันไปถามเพื่อนสนิทว่าชื่ออะไรดี เพื่อนก็เลยบอกกวิ้นฮังกรี้ไหม ก็เลยแบบอะ โอเค งั้นก็กวิ้นฮังกรี้เลย ใช่ค่ะ
“ตอนปี 2015 ตอนที่เริ่มแรกๆ อ่ะ คนติดตามน่าจะประมาณ 14 คน ซึ่ง 7 คนเป็นคนรู้จัก แล้วก็อีก 7 คนเป็นคนที่ไม่ได้รู้จักเรามาก่อนเลย พอมุกเริ่มทำเพจใน IG ค่ะ แล้วตอนนั้น Instagram มันยังไม่ได้เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดเท่าไร เราเลยมาดูว่าแล้วเราอยากจะ reach out หา กลุ่มคนที่เป็นนิสิตนักศึกษาเนี่ยเราจะต้องทำยังไง ก็เลยคิดถึงเว็บไซต์ เด็กดี.com ก็เลยเอาพวกคอนเทนต์รีวิวต่างๆ ของพวกเราไปลงเว็บเด็กดี แล้วหลังจากนั้นคนก็ติดตามมาจากในเด็กดี มาที่ IG อีกทีนึง ตอนนั้นมุกจำได้เลยว่าช่วงนั้นมุกสอบกำลังสอบไฟนอลที่มหาวิทยาลัยอยู่ แล้วมันต้องปิดมือถือใช่ไหมคะ ก็เลยเหมือนแบบอ่ะต้องปิดมือถือไปแล้ว แต่หลังจากเราลงโพสต์คอนเทนต์ในเด็กดีแล้ว เขามาแชร์ต่อในโซเชียลมีเดียแล้วมันไวรัลมากๆ มุกกลับมาเปิดอีกทีนึงก็คือคนตามมาประมาณ 5,000 กว่าคนภายในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เลยรู้สึกว่าโอเค มันเป็นจุดเริ่มต้นครั้งแรกที่เราเริ่มเข้าใจโซเชียลมีเดียแล้วก็การทำคอนเทนต์แบบนี้ค่ะ”
จากความว่างเปล่าสู่การพบพระเจ้า จุดเปลี่ยนในยุคโควิด-19
“ช่วงมหาวิทยาลัยอะค่ะ ทำมาตั้งแต่ปี 1 แล้วก็ได้มีโอกาสทั้งไปฝึกงาน ทั้งได้ทุนต่างประเทศ จากการที่ทำเพจ แล้วก็ไปกับการท่องเที่ยวทั้งสิงคโปร์ แล้วก็กับที่ต่างๆ รวมถึงการไปเป็นนักพูดรับเชิญ แล้วก็การลงหนังสือพิมพ์ การออกรายการทีวีอะไรเงี้ยค่ะตั้งแต่ก่อนที่เราจะมาเป็นคริสเตียน
“แต่ว่าพออยู่ในช่วงที่เป็นยุคโควิดอ่ะ มุกมาพบว่าที่ผ่านมาทั้งหมดอ่ะ รู้สึกว่ามันหายไป รู้สึกว่าทุกอย่างมันดูว่างเปล่ามากๆ ในตอนนั้น มันเลยทำให้เราก็กลับมาทบทวนกับตัวเองค่ะว่า จริงๆ แล้วคุณค่าในชีวิตอ่ะมันคืออะไร
“ยอมรับมากๆ ค่ะว่าช่วงนั้นก็คือแบลงก์ไปเลย ประมาณน่าจะหลายเดือนอยู่เนาะ ช่วงที่เหมือนแบบเราล็อกดาวน์กัน พอเราเริ่มคลายล็อกดาวน์ก็มีเพื่อนมุกคนนึงที่เขาทำงานอยู่ที่ Microsoft เป็นเพื่อนสนิทกัน เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนนะคะ แต่ว่าตอนนั้นคือเขาชวนมุกไปเหมือนแบบเป็น Business Club ที่พี่คนนึงที่เป็นคริสเตียนน่ะเขาจัดอยู่ แล้วพอไปที่นั่น มุกก็รู้สึกว่ามีหลายๆ คนที่อยู่ในคอมมิวนิตี้ เขา loving แล้วเขาอยากจะให้เราจังเลย แบบอยากจะรัก อยากจะให้ ก็เลยรู้สึกว่าแบบทำไมคนกลุ่มนี้ถึงเป็นแบบนี้ แล้วสิ่งที่เขามีเหมือนกันคือเขามีพระเจ้า มุกก็เลยทักไปถามพี่ที่พอดีพี่เขาเพิ่งกลับมาจากอเมริกา แล้วเหมือนแบบได้เจอกันตอนนั้น แล้วเขาอยู่ในคอมมิวนิตี้นี้ ว่าเออ โทษนะคะ ถ้าอยากขอแบบตามไปโบสถ์อ่ะ ได้ไหมอะไรอย่างเงี้ย ใช่พี่เขาก็เลยบอกว่า เออ ก็มาเลยอะไรอย่างเงี้ย วันอาทิตย์แบบยินดีมากๆ ใช่ค่ะ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นแรกที่ให้มุกเหมือนมุกได้ลองไปโบสถ์
"ครั้งแรกที่มุกไปโบสถ์เนอะ มันก็เป็นประสบการณ์ที่รู้สึกว่าไม่เหมือนกับที่คิดไว้เท่าไหร่ เพราะว่าเมื่อก่อนเราติดภาพในหนังมากๆ ว่าโบสถ์มันจะต้องยิ่งใหญ่ สวยๆ อะไรอย่างเงี้ยค่ะ แต่ว่าแบบโบสถ์ที่เหมือนมุกไปครั้งแรกก็คืออยู่ในโรงแรม แล้วบรรยากาศแรกก็คือเหมือนเป็นเพลงนมัสการพระเจ้า เหมือนไปคอนเสิร์ตเลยค่ะ มันสนุกมาก ก็เลยรู้สึกว่าเอ็นจอยกว่าที่คิดค่ะ แล้วก็จุดแรกที่ประทับใจตอนไปโบสถ์ คือเรารู้สึกว่าต่อให้เราจะรู้จักกันครั้งแรก เราก็สัมผัสได้ถึงความรักจากคนที่มาจากข้างในโบสถ์จริงๆ มันเลยทำให้เราก็ค่อยๆ ได้เหมือนแบบมีประสบการณ์มาเรื่อยๆ
“ยอมรับว่าแบบปีแรกๆ ที่มาเชื่อพระเจ้าอ่ะ มุกยังไม่ได้แบบเริ่มต้นอ่านไบเบิลตั้งแต่ปีแรกขนาดนั้น ใช่ พึ่งเหมือนแบบ อาจจะแบบไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตา มีจุดที่เราตั้งคำถามกับพระเจ้าแล้วกันค่ะ ว่าถ้าพระเจ้าดี แล้วทำไมพระเจ้าถึงให้เราเหมือนแบบเจอเหตุการณ์ที่มันเจ็บปวดขนาดนี้ มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีอยู่สองช้อยส์ ก็คือออกจากโบสถ์ไปเลย หรือว่าเลือกจะเดินต่อแบบสุดๆ คือเราไม่อยู่ตรงกลาง เราต้องไปสุดทางใดทางหนึ่ง แล้วก็เลยเหมือนแบบตัดสินใจเลือกที่จะไปสุดทางนี้ ใช่ค่ะ ก็เลยทำให้เริ่มศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องราวพระเจ้ามากขึ้น”
การเยียวยาหัวใจผ่านความรักของพระเจ้า สู่การคืนดีในครอบครัว
“สิ่งที่ใกล้ใจเรามากที่สุดในตอนนั้นจะเป็นเรื่องของครอบครัวค่ะ จริงๆ ก่อนที่มารู้จักพระเจ้า มุกไม่ได้เชื่อเรื่องความรักขนาดนั้น ใช่ เพราะว่ามุกเติบโตมาในบ้านที่ป๊ากับม้า แยกทางกันตอนมุกอยู่ประมาณ ม.6 แล้วก็หลังจากนั้นมามุกก็ไม่ได้เชื่อว่าว่าตัวเองจะแต่งงานหรือว่ามีความรักที่แบบ complete เหมือนในหนังอะไรขนาดนั้น ก็เลยมองว่าเราห่างไกลจากคำว่าความรักตรงนั้นมากๆ แต่ว่าพอ มารู้จักพระเจ้า มาเจอความรักของพระเจ้า มาเจอความรักของผู้คนในโบสถ์ มันเป็นเหมือน เหมือนได้รับน้ำอะค่ะ เหมือนเมื่อก่อนถ้าให้มุกเปรียบเทียบชีวิตตัวเองน่าจะเป็นเหมือนต้นตะบองเพชร ที่มันแห้งแล้งมากๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เข้มแข็งมากๆ ท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ แต่ว่าจริงๆ แล้วแม้กระทั่งต้นตะบองเพชร มุกก็เชื่อว่าเขาก็ต้องการโอเอซิสที่เป็นแหล่งน้ำเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นแรกที่เริ่มสัมผัสผ่านความรักของพระเจ้าก่อน แล้วพระเจ้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนหัวใจของเรา ให้เราสามารถรักครอบครัวได้มากขึ้น
“เมื่อก่อนมุกเป็นคนที่ไม่ให้อภัยตัวเอง แล้วก็ไม่ให้อภัยคุณพ่อ ปะป๊าตัวเองอะค่ะ คือมุกไม่ได้เจอเขาเลย 11 ปี มุกเพิ่งได้มาเจอเขาจริงๆ คือปีที่แล้ว พระเจ้าก็ค่อยๆ ให้เรากลับมาคืนดีกันก่อน จากมุกก็ไปอันบล็อกเขาก่อน แล้วก็เริ่ม connect มากขึ้นในออนไลน์ แล้วก็ค่อยได้มีโอกาสได้มาเจอกันจริงๆ เมื่อประมาณปีที่แล้วเอง ก็รู้สึกว่าพระเจ้ามีวันเวลามากๆ จากจุดที่เราหมดหวังกับเรื่องของครอบครัวไปแล้ว แต่ว่าพระเจ้าก็คืนให้ทุกๆ อย่าง กลายเป็นว่าจากเมื่อก่อนเป็นเด็กที่หนีบ้านมาก่อนค่ะ รู้สึกว่าเรากลัวการถูกปฎิเสธอีกครั้งนึงจากที่บ้าน แต่ว่าที่บ้านเราไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะคะ ที่บ้านเราอยากจะรักอยากจะให้มากๆ แต่ว่ามันเป็นความกลัวเป็นความไม่มั่นคงของเรามากกว่าที่ทำให้เราวิ่งหนี
“พอพระเจ้ามาโอบกอดเราแล้วก็มาบอกว่า เราให้อภัยเจ้านะ มันเลยรู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกมั้งคะที่รู้สึกละได้รับความรักแล้วก็ได้รับการให้อภัยจริงๆ มันเลยทำให้เราสามารถเลือกที่จะให้อภัยตัวเองก่อน แล้วก็เลือกที่จะให้อภัยเขาได้มากขึ้น เพราะมุกมองว่าการให้อภัยเป็นการตัดสินใจ แต่ว่าเรื่องการเยียวยารักษาหรือว่าการคืนดีมันเป็นอะไรที่ใช้เวลา ก็เลยรู้สึกว่าน่าจะเป็นคำอธิษฐานที่พระเจ้าตอบที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราจะคิดออกในชีวิตตอนนี้ได้ รู้สึกว่าขอบคุณพระเจ้ามากที่สุดในเรื่องครอบครัวค่ะ”
พระเจ้าผู้ทรงเป็นขนมปังประจำวัน : ใช้แพลตฟอร์มเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า
“ก่อนที่มุกจะมารู้จักพระเจ้าอ่ะ มุกยอมรับว่าเราตอนมีอยู่ช่วงนึง มันเป็นช่วงยุครุ่งเรืองของเรามากๆ แล้วทุกๆ อย่างมันได้มาง่าย มันก็ทำให้เราไม่ได้มองเห็นคุณค่า แม้กระทั่งเวลาที่มันเหมือนแบบเรามีมากกว่าคนอื่นเราก็ไม่ได้เห็นคุณค่ากับมัน เราก็ใช้แบบเปล่าประโยชน์มากๆ เคยเหมือนแบบนั่งดูอนิเมะอย่างเดียวทั้งวันอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
“แต่ว่าพอมาอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าให้เราเห็นพระพร มากๆ จากงานที่เราทำ ที่เราสามารถไปอวยพรคนอื่นได้ หรือว่าเราสามารถใช้เวลาตรงเนี้ยในการไปรับใช้สิ่งอื่นๆ ได้ หรือว่าทำเรื่องอื่นๆ ที่เราสนใจในโปรเจกต์ที่เราเหมือนแบบมี passion กับมันด้วยเหมือนกัน เราเลยรู้สึกขอบคุณพระเจ้าแล้วเราอยากจะใช้ตรงเนี้ยเป็นแพลตฟอร์ม ในการที่บอกทุกคนว่า เราอาจจะไม่ได้สมบูรณ์จริง ก็จริง แต่ว่าพระเจ้าของเราดีเสมอ
“อย่างที่เขียนในหน้าเพจค่ะว่า Jesus is our daily bread ก็คือพระเจ้าเป็นเหมือนขนมปังประจำวัน ให้กับเราจริงๆ แล้วมุกเชื่อมากๆ ว่า ในช่วงตั้งแต่นั้นมุกตั้งใจในการที่จะเอาจีซัส คำเนี้ยค่ะขึ้นมาบนเพจด้วย เหมือนพระเจ้าให้เห็นจริงๆ คำว่า Daily Bread มันเป็นยังไง เพราะว่ามันก็มีช่วงที่มุกไม่มีเลย แต่พระเจ้าก็มอบให้ในจุดที่เราขาด พระเจ้าไม่เคยทำให้ช้าเกินไป แต่ว่าอาจจะไม่ได้รีบร้อนตามใจเรา แต่ว่าพระเจ้าขอให้เราเชื่อ แล้วพระเจ้าให้ความสำคัญมากๆ ค่ะ กับท่าทีของการรอคอย ว่ารอคอยพระเจ้า รอคอยการจัดเตรียมของพระเจ้าด้วยท่าทีแบบไหน เราจะยังชื่นชมได้อยู่ไหมในระหว่างที่เราคอย ก็เลยรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ผ่านทุกปัญหาที่เราได้เดินทางกับพระเจ้ามา เรารู้สึกว่าพระเจ้าเป็นจริงในชีวิต ทั้งการทำงานของเรา รวมถึงท่าทีที่เรามองงาน แล้วก็ผู้คนรอบตัวเราจริงๆ ค่ะ”
จาก Small Group สู่ “HATO” Safe Space ออนไลน์ที่ทุกคนร่วมส่งต่อกำลังใจได้
“ในอีกหมวกนึง มุกทำเป็นโคฟาวเดอร์ของแอปพลิเคชั่นชื่อว่า ฮาโตะ (HATO) เป็นเหมือนแอปพลิเคชั่นพื้นที่ปลอดภัยที่ให้คนร่วมสร้างแล้วก็ส่งต่อกำลังใจดีๆ ให้แก่กัน ซึ่งจริงๆ ไอเดียในการทำฮาโตะ มุกได้มาตอนปี 2020 ค่ะ ตอนปีแรกที่มุกเชื่อพระเจ้าเลย
“ตอนนั้นย้อนกลับไปเป็นช่วงที่มีงานแข่งงานนึงค่ะ ชื่อว่า LINE Hackathon ประเทศไทยของบริษัท LINE Thailand นี่แหละค่ะ แล้วเขาก็จัดในธีม Tomorrow's New Normal ก็คือเป็นการแก้ปัญหายุคหลังโควิด และปัญหาที่กลุ่มมุกเห็นตรงกันก็คือ Mental Health หรือสุขภาพจิต ในตอนนั้นก็เลยมาดูว่าเราจะทำอะไรเกี่ยวกับ Mental Health ดี ตอนนั้นเป็นปีแรกที่มุกได้มีโอกาสมารู้จักพระเจ้า ได้มาโบสถ์แล้วก็รู้จักสิ่งที่เรียกว่า Small Group ค่ะ
“ตอนนั้น small group เป็นอะไรที่ใหม่สำหรับมุกมากๆ แต่มุกรู้สึกว่าพื้นที่ของ small group เป็นพื้นที่ที่เรามาเจอกันนอกโบสถ์อาทิตย์ละครั้ง แล้วมันทำให้รู้สึกว่าเป็นพื้นที่ที่เรารู้สึกสบายใจ และเป็น safe space สำหรับเราจริงๆ แล้วเราอยากให้มีสิ่งนี้กับคนที่ไม่ได้รู้จักพระเจ้าด้วย เราก็เลยเอาไอเดียนี้ไปเสนอเพื่อนในกลุ่มตอนนั้น แล้วเราก็มาเบรนสตรอมกันต่อว่าจะออกมาเป็นหน้าตาแบบไหน ก็เลยกลายเป็นว่าเป็นแบบจดหมายแบบที่ไม่ระบุตัวตนดีมั้ย แล้วก็ให้คนในคอมมูนิตี้สามารถให้กำลังใจกลับไปได้ แล้วนอกจากตรงนี้ก็มีอีกฟีเจอร์นึงที่เราชอบกันมากๆ ก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าให้กำลังใจยามเช้า ซึ่งไอเดียตรงนี้จริงๆ มุกก็เอามาจากแอป Bible ที่มันเป็นแบบ Verse of the day แล้วมุกรู้สึกว่าถ้ามันมีกำลังใจตอนเช้ามาหนุนใจเราในตอนเช้ามันก็น่าจะดีเหมือนกัน เลยเป็นจุดเริ่มต้นของฮาโตะ
“ตอนแรกเราแข่งในงาน LINE Hackathon เราอาจจะไม่ได้ได้ท็อปทรี แต่ว่าตอนนั้นมีผู้ใช้งานเข้ามาใน LINE ของเราประมาณ 200 คน แล้วเรารู้สึกว่า เฮ้ยนี่มันเป็นกลุ่มที่ งงมากเหมือนกันว่าเขามาจากไหน แต่ก็ทำให้เห็นว่ามีคนต้องการสิ่งนี้จริงๆ”
เรียนรู้ภาวะผู้นำในแบบพระเจ้า ผ่านการรับใช้ใน YWCA
“ขอบคุณพระเจ้ามากๆ จริงๆ ได้โอกาสมาร่วมงานในเหมือนแบบกับทาง YWCA (Young Women Christian Association) ประเทศไทยค่ะ ตอนนั้นก็ได้มีโอกาสรับใช้กับทางพระปะแดง แล้วก็เข้าสู่โครงการแบบ Rise up ของที่ประเทศไทย แล้วผ่านโครงการนี้ค่ะ มันทำให้เราเห็นว่าการเป็นลีดเดอร์ในแบบพระเจ้าเป็นยังไง เพราะเรามีโอกาสได้เห็นลีดเดอร์ในทางโลกมาเยอะมากๆ แต่ว่าเรายังไม่เข้าใจอ่ะว่าการที่จะเป็นผู้นำ ที่เป็นคนที่รับใช้คนอื่นจริงๆ มันน่าตาเป็นยังไง โปรแกรมนี้ทำให้เราได้มีโอกาสเห็นทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเพื่อนในวัยเดียวกันหรือ เป็นแม้กระทั่งรุ่นน้องเรา ที่เขายินดีที่จะเป็นผู้นำและรับใช้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเรางงมากในตอนแรกที่มันมีแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ทำไมเขาถึงถ่อมใจลงไปขนาดนั้นนะ มันทำให้ mindset หรือว่ามุมมองการเป็นผู้นำของเรามันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลย
“รู้สึกว่าการที่ได้มีโอกาสมารับใช้กับ YWCA ในส่วนของมุกคือการเป็นคนเทรนนิ่งน้องๆ เกี่ยวกับเรื่อง Mental Health เรื่องสุขภาพจิตอะไรเงี้ยค่ะ เราก็จะไปตามโรงเรียน ไปตามมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งอาจจะจัด Workshop น้องๆ ตั้งแต่เฟิร์สจ๊อบเบอร์ นักเรียน นักศึกษา เป็นต้นไป แล้วก็ได้มีโอกาสไปแชร์กับพี่น้องกะเหรี่ยงด้วยที่กาญจนบุรี ก็เลยรู้สึกว่าในตรเนี้พระเจ้าก็ดูแลเราในแต่ละปีไม่เหมือนกันจริงๆ ได้เรียนรู้จากทุกๆ คนใน YWCA เยอะมากๆ ค่ะ”
บทเรียนเรื่องวินัย การรอคอย และการวางใจ
“ก่อนหน้านี้มุกยอมรับว่า มุกเป็นคนที่ไม่ได้มี self discipline หรือว่าวินัยมากขนาดนั้น แต่ว่าเป็นสิ่งที่มุกอธิษฐานขอพระเจ้าเหมือนกัน ว่ามุกอยากมีวินัยมากขึ้น แล้วพระเจ้าก็รู้จักเราดีมากๆ ค่ะ พระเจ้าก็สอนให้เรามีวินัยมากขึ้นผ่านงานของมุก ต้องเรียนรู้ผ่านการทำงาน การทำงานเป็นกลุ่ม หรือการทำงานเป็นโปรเจกต์ร่วมกันกับคนอื่น เพราะว่าอย่างงานเนื้องานมุกที่เป็นพาร์ทรีวิวค่ะ ส่วนใหญ่มุกจะทำด้วยตัวคนเดียวแล้วมันจบด้วยตัวคนเดียวได้ แต่ว่าพอเราได้มีโอกาสมาทำงานไม่ว่าจะเป็นฮาโตะ หรือว่างานรับใช้ที่ YWCA หรือตอนนี้มุกรับใช้กับ BSF (Bible Study Fellowship) ด้วยเหมือนกันค่ะ มันทำให้เราต้องมีวินัยมากขึ้น แล้วต้องจัดตารางมากขึ้นในการที่จะสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ดี
“สิ่งที่มุกได้เรียนรู้มาก็คือ เราไม่จำเป็นต้องทำเองทุกอย่าง เมื่อก่อนมุกจะเป็นคนที่รับจบ แต่มุกรู้สึกว่าตั้งแต่มารู้จักพระเจ้า พระเจ้าก็อนุญาตให้เราได้อ่อนแอเหมือนกัน แล้วก็ได้เห็นความจำกัดของตัวเองว่าเราเองต้องการคนอื่นๆ ด้วยนะ มันเลยทำให้เราทำงานเป็นทีมมากขึ้นค่ะ แล้วก็กระจายงาน จากที่เมื่อก่อนเราจะรวบตึงมาทำคนเดียวอ่ะ เรากระจายให้คนอื่นได้ทำในสิ่งที่เขาถนัด แล้วเราก็เอาหัวมาคิดในภาพใหญ่มากขึ้น ว่าเราจะไปยังไงต่อ หรือว่าจะส่งไปยังไงต่อ
“แต่ว่าทุกๆ อย่างต่อให้เราจะวางแผนมาแล้วอ่ะค่ะ มันต้องเริ่มต้นจากที่เราอธิษฐานกับพระเจ้าก่อนเสมอ เพราะว่าในหัวอีกหมวกนึงที่มุกทำ ก็คือมุกเป็นผู้บรรยายรับเชิญด้วย ก่อนหน้าเนี้ยที่มุกไปสอน มุกจะเป็นคนที่ต้องแพลนล่วงหน้าหลายเดือนมากๆ ว่ามุกจะสอนเนื้อหาอะไร แต่ว่าพอมารู้จักพระเจ้า มุกจำได้ว่ารุ่นพี่หรือแม้กระทั่งศิษยาภิบาลนะ บอกว่าเราสามารถอธิษฐานถามพระเจ้าได้ทุกอย่าง มุกก็เลยโอเค งั้นพระเจ้าอยากจะให้มุกสอนอะไร กับเนื้อหาอะไร แล้วพระเจ้าจะให้คุยอะไรกับน้องที่จะไปสอนอะไรเงี้ย มุกก็ถามพระเจ้าเหมือนกัน ซึ่งการที่รอคอยพระเจ้าตอบ มันใช้เวลามากๆ เลย และหลาย ๆ ครั้งที่มุกเจอ มันก็ทำให้เราเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้าผ่านการรอคอยด้วยเหมือนกัน
“มีครั้งนึงที่มุกมีโอกาสแรกที่ได้เหมือนแบบไปสอนที่สเตนเดนไทยแลนด์ เขาเป็นมหาวิทยาลัยจากเนเธอร์แลนด์ค่ะ มาสอนวิชา ASEAN Gastronomy (อาหารภูมิภาคอาเซียน) แล้วมุกไปสอนในพาร์ทที่เป็น Storytelling กับ Content Creator แล้วจริงๆ มุกไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขนาดนั้น แต่ว่าต้องไปสอนนักศึกษาเป็นภาษาอังกฤษ ก็อธิษฐานถามพระเจ้าค่ะว่าพระเจ้าอยากให้ไปสอนที่นี่จริงๆ ไหม แล้วถ้าพระเจ้าจะให้ไปสอนก็ขอคำตอบชัดๆ เลย แล้วหลังจากอธิษฐานเสร็จ ไม่ถึงชั่วโมง อาจารย์ที่ทักมาให้สอนเขาก็โทรมาเลยค่ะ เขาบอกว่า ตอนแรกจากคลาสเดียว ขอเป็นสองเลยได้ไหม ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยได้ยินมุกสอนเป็นภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ แต่เขามีความเชื่อมั่นมากกว่ามุกอีก ว่ามุกสอนได้นะ ก็เลยรู้สึกว่าอันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่หนึ่ง
“มันมีช่วงย้อนกลับไปประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว มีงานสัมมนาคริสเตียน แล้วช่วงประมาณวันที่ 3 ที่มีนมัสการพระเจ้าอย่างเดียว แล้วมุกรู้สึกว่ามุกอยากไป เพราะว่ามีคนที่มาจากต่างประเทศเขามา แต่ว่ามุกเหลือเวลาเตรียมเนื้อหาสอนอีกประมาณสัปดาห์เดียว แต่มุกยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย แต่ว่าก็อยากไปอ่ะ อยากไปนมัสการพระเจ้า ก็เลยไป แล้วตอนที่นมัสการอยู่ก็เหมือนพระเจ้าก็คุยด้วยค่ะ ว่าจริงๆ เราเตรียมเจ้าไว้แล้วตั้งแต่แรก ตั้งแต่วันที่ไม่รู้จักกันเลย เพราะว่ามุกรับเชื่อวันที่ 13 กันยายน แล้ววันที่มุกจะไปสอนที่มหาวิทยาลัยเนี่ย ก็เป็นวันที่ 13 กันยายนเหมือนกัน แล้ววันนั้นเหมือนพระเจ้าเตือนความจำว่าพระเจ้าเตรียมมุกในการแบบให้พูดหรือว่าฟังภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าให้ไปอยู่ในโบสถ์อินเตอร์แล้ว คือไม่มีอะไรที่พระเจ้าจะให้มันเสียไปเปล่าๆ มุกก็เลยรู้สึกว่าจริง หลังจากนั้นมาก็ค่อยๆ กลับมาเตรียมสไลด์ค่ะ แต่ว่าทุกๆ อย่างมันเป็นการอัศจรรย์ที่มาทันเวลาพอดีมากๆ เพราะไปสอน 2 รอบก็ไม่เหมือนกันสักรอบ รอบที่ 2 ที่ไปสอนอีกวันนึงอะไรเงี้ยค่ะ พระเจ้าใช้ปากเรา ใช้ร่างกายเรา ในการไปพูดจริงๆ คือกลายเป็นว่าผลตอบรับดีมาก แล้วก็กลายเป็นว่าตอนนี้ก็ยังสอนแบบต่อเนื่องในทุกๆ รอบที่แบบน้องๆ มาแลกเปลี่ยนค่ะ”
พระพรในสิ่งที่ทำ การถวายสิ่งเล็กน้อยด้วยใจสัตย์ซื่อ
“แม้กระทั่งตอนวันเนี้ย มุกได้มีโอกาสเหมือนแบบมาแชร์เรื่องราวของตัวเองเนอะ เมื่อวานมุกยังเป็นคนที่ยังสงสัยอยู่เลยว่ามุกควรค่าจริงๆ หรือเปล่าที่จะมาแชร์คำพยานของมุก แต่ว่าในวันนี้พระเจ้าก็หนุนใจว่า มันเหมือนกับเด็กคนนั้นน่ะค่ะ ที่มอบขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวให้กับพระเยซู แล้วพระเยซูก็รับไว้ด้วยท่าทีที่ยินดีอ่ะ พระเยซูก็มองพวกเราทุกคนแบบนั้นเหมือนกัน
“อยากจะหนุนใจมากๆ ว่ามันไม่มีสิ่งใดเลยที่มันเล็กน้อยเกินไป มันอาจจะเล็กน้อยในสายตาโลก สายตาตัวเอง แต่ว่ามันไม่เคยเล็กน้อยในสายตาของพระเจ้าเลย ก็อยากจะให้ทุกคนได้ทำในสิ่งที่พระเจ้านำให้ทำแบบวันต่อวัน วันต่อวันจริงๆ มันอาจจะมีขึ้นและลงบ้าง แต่ว่าสุดท้ายแล้ว เราไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อที่จะให้มนุษย์พึงพอใจ แต่ว่าเราทำสิ่งนี้เพื่อที่สุดท้ายแล้ว วันที่เราไปเจอพระเยซูแบบหน้าต่อหน้า พระเยซูจะเป็นคนบอกเราเองค่ะว่า อื้อ เราเป็นคนที่อารักขาของของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ มุกรู้สึกว่ามันคือแค่นั้นเลย ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ขอให้มันออกมาแบบด้วยความรัก
“อยากเป็นกำลังใจให้ว่า ถ้าตอนนี้ยังขาด หรืออาจจะยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ แต่ว่าในสายตาของพระองค์ พวกเราสมบูรณ์เสมอ เพราะพระองค์ทรงเห็นพระเยซูผ่านชีวิตของเรา”
ความเชื่อที่ส่งผลต่อการทำงานและมุมมองต่อชีวิตของเธออย่างลึกซึ้ง จากที่เคยใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์และไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนมี เธอกลับได้เรียนรู้ที่จะมองเห็น "พระพร" ในงานที่ทำ และใช้แพลตฟอร์มของเธอเพื่อ "อวยพรผู้อื่นและรับใช้"
เธอทิ้งท้ายด้วยข้อคิดที่ทรงพลังว่า "ไม่มีสิ่งใดเล็กน้อยเกินไปในสายตาของพระเจ้า" แม้จะดูเล็กน้อยในสายตาโลก แต่ไม่เคยเล็กน้อยในสายตาของพระองค์
ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำ
ร้านมาริเอ คาเฟ่ ถ.บรรทัดทอง
________________________________________
ติดตาม CGN Thai News ข่าวสารสำหรับคริสเตียนไทย ได้ทาง Facebook