เว็บไซต์มีการใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและการตั้งค่าคุกกี้ได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้
Gen Z ไทยในมุมมอง YFC บทบาทพันธกิจต่อคนรุ่นใหม่ บนความเชื่อที่พบกับความท้าทายของยุค
มุมมองจากเจ้าหน้าที่แผนกนักเรียนนักศึกษา องค์การเยาวชนไทยเพื่อพระคริสต์ (Thailand Youth For Christ - YFC) สามท่าน ได้แก่ ณัฐสุดา ผลเจริญ (แน็ต), ทัตเทพ ศุภนคร (ป่าน), และ ต้นศักดิ์ เบญจพรกุลนิจ (กล้าม) ที่มาแบ่งปันประสบการณ์และความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานกับเยาวชนยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะ Gen Z รวมถึงความท้าทายและโอกาสในการประกาศพระกิตติคุณและสร้างสาวกในบริบทที่หลากหลาย
ความแตกต่างระหว่างรุ่นและความท้าทายในการสื่อสาร
ณัฐสุดา ผลเจริญ (แน็ต) เจ้าหน้าที่ YFC ที่ระบุว่าตนเองเป็น Gen Y ซึ่งอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ได้ทำงานกับเยาวชน Gen Z รวมถึง Gen X และ Baby Boomers ในครอบครัวใหญ่ เธอสังเกตเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนในการทำกิจกรรมและการสื่อสารระหว่างรุ่น
"ยุคของแน็ตเราโตมากับการที่แบบว่าไปเที่ยวกับเพื่อนใช้เวลากับเพื่อนพูดคุยกันแบบเห็นหน้าต่อหน้านะแต่ปัจจุบันเด็กส่วนใหญ่ก็คือจะแบบถนัดพิมพ์เก่งมากในการสื่อสารกับเราผ่านการพิมพ์"
เธอยกตัวอย่างการสื่อสารที่อาจคลาดเคลื่อนได้ เช่น การพิมพ์ย่อ อย่าง "พจพ." แทนคำว่า "พระเจ้าอวยพร" ซึ่งต้องสอบถามเพื่อทำความเข้าใจ
ณัฐสุดา ผลเจริญ (แน็ต) เจ้าหน้าที่แผนกนักเรียนนักศึกษา องค์การเยาวชนไทยเพื่อพระคริสต์ Thailand Youth For Christ
ต้นศักดิ์ เบญจพรกุลนิจ (กล้าม) ซึ่งอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวของ Gen Z ก็เห็นความต่างในการประกาศกับเด็ก Gen Z เขาพบว่าเด็กยุคนี้มีแนวโน้มที่จะโฟกัสสิ่งต่างๆ ได้ไม่นาน
“มีการบอกเล่าพูดคุย น้องๆ ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างที่จะฟังได้ แต่ว่าอาจจะไม่ได้เข้าใจมากนักครับ”
ต้นศักดิ์ เบญจพรกุลนิจ (กล้าม) เจ้าหน้าที่แผนกนักเรียนนักศึกษา องค์การเยาวชนไทยเพื่อพระคริสต์ Thailand Youth For Christ
ทัตเทพ ศุภนคร (ป่าน) ซึ่งระบุว่าตนเองอยู่ในช่วงต้นของ Gen Z มองว่า Gen Z มีความเป็นตัวเองสูงและมีความเชื่อมั่นในตัวเองค่อนข้างสูง ทำให้การประกาศ การพูดคุย หรือการเข้าไปสร้างสัมพันธ์มีความท้าทาย
“พวกเขามักจะปกป้องตัวเองมากและไม่ค่อยที่จะต้อนรับคนใหม่ๆ เข้ามา แล้วก็มีกำแพงค่อนข้างสูง ป่านเชื่อว่าสิ่งนี้อาจมาจากยุคสมัยและบริบททางสังคมที่ทำให้พวกเขาต้องปกป้องตนเองและทะเยอทะยานเป็นพิเศษเพื่อนำเสนอว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกต้อง”
ความเปราะบางภายในและปัจจัยหล่อหลอม
แม้ Gen Z จะดูมีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่ ณัฐสุดา มองว่าลึกๆ แล้วพวกเขาอาจไม่ได้มั่นใจอย่างแท้จริง เธอมองว่ามันเป็นรูปแบบการเอาชีวิตรอดในสังคมที่มีการแข่งขันสูง ทั้งด้านการเรียน การทำงาน และโซเชียลมีเดียที่สร้างมาตรฐานความสำเร็จที่สูงมาก การเผชิญปัญหาของเยาวชนส่วนใหญ่จึงไม่ใช่เรื่องร่างกาย แต่เป็นเรื่องจิตใจมากกว่าที่เขาจะต้องแบบแข็งแกร่งขึ้น
“ถ้าไม่มีใครใส่ใจ ไม่มีใครอยู่กับเขา เขาก็จะรู้สึกโดดเดี่ยวค่ะ แต่มนุษย์ทุกคนต้องการความรัก ต้องการการยอมรับ แล้วถ้าเขามีพระเจ้า หนูเชื่อว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนเขาได้จริงๆ”
ต้นศักดิ์ สันนิษฐานว่าพฤติกรรมบางอย่างของ Gen Z อาจถูกหล่อหลอมมาจากหลายปัจจัย เขาชี้ว่าพ่อแม่ Gen Z ส่วนใหญ่เป็น Gen X หรือ Gen Y ซึ่งมีวิธีการเลี้ยงดูที่ต่างจาก Baby Boomers ประสบการณ์ของพ่อแม่เหล่านี้อาจทำให้มีการ "สปอยล์บางอย่างกับ Gen Z" หรือมีการ "พ่อแม่รังแกฉันบางอย่าง" เพราะไม่อยากให้ลูกเจอแบบที่ตนเองเคยเจอ
นอกจากนี้ สังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วก็เป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมให้ Gen Z เป็นแบบที่เป็นอยู่ เขามองว่าไม่แปลกใจที่มีข่าวว่าเด็ก Gen Z อาจมีความเป็นปัจเจกบุคคลสูง หรือรู้สึกว่าโลกต้องหมุนรอบตัวเอง
กลยุทธ์การประกาศและสร้างสัมพันธ์: การฟังคือสิ่งสำคัญ
ในการเข้าถึง Gen Z เจ้าหน้าที่ YFC ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการ ต้นศักดิ์ เล่าว่าเดิม YFC ใช้หนังสือ "ก้าวสู่ความสุข" (เครื่องมือประกาศของ YFC ที่ใช้พูดคุยเรื่องชีวิตและพระเจ้า) ที่เน้นการบอกเล่าพูดคุย แต่เด็กๆ ฟังได้ไม่นานนัก เขาจึงเริ่มใช้เกม บวกกับการประกาศไปด้วย ซึ่งเด็กๆ ชอบมากเพราะสนุกและได้พูดคุยแบบสองทาง (two-way)
ทั้ง ทัตเทพ และ ต้นศักดิ์ ต่างเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ "ฟัง" ในการประกาศกับเยาวชนยุคนี้ ต้นศักดิ์ ได้เรียนรู้ว่าบางครั้งการเล่าเรื่องพระกิตติคุณฝ่ายเดียวไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะเด็กๆ ฟังผู้ใหญ่มาเยอะแล้ว แต่ขาดคนที่จะรับฟังพวกเขา
ต้นศักดิ์เล่าประสบการณ์ล่าสุดที่ไปประกาศที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งว่า "สิ่งที่แปลกใจมากคือเราฟังเค้าอย่างเดียวเลย" และพบว่าท่าทีของน้องเปลี่ยนไป ดูผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อน้องเริ่มรีแล็กซ์ จึงค่อยๆ ท้าทายให้ลองไปโบสถ์หรือชมรมคริสเตียน นี่คือเทคนิคที่เขาได้เรียนรู้ว่า "เราต้องฟังเค้าให้มากๆ จริงๆ"
ทัตเทพ เสริมว่า หากเราไม่ได้เป็น "พื้นที่ปลอดภัย" ให้กับพวกเขา พวกเขาก็จะเลือกที่จะไม่ฟัง การสร้างสัมพันธ์จึงใช้เวลานาน
ทัตเทพแนะนำว่า หากต้องนำเสนอความคิด เราต้องไม่ตัดสินว่าสิ่งที่เขาคิดผิด แต่หาทางอ้อมเพื่อชี้ว่าความคิดนั้น "อาจจะไม่ตรงประเด็นเฉยๆ" เขามองว่าไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาบอกว่าความคิดของตนผิด และสำหรับ Gen Z แล้ว หากพูดตรงๆ พวกเขาอาจปิดใจทันที
“น่าจะเหมือนกับคนทุกๆ คนที่รู้สึกไม่ได้ชอบเวลาที่มีใครมาบอกว่าความคิดของคุณมันผิดนี่นะ เขาก็เลยก็น่าจะเป็นเหมือนกันทุกๆ เจนแต่แค่ว่าเจนนี้จะชัดเจนมากในการที่แบบว่าถ้าเราพูดกับเขาตรงๆ เนี่ยเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะปิดกับเราทันที"
ในบริบทที่เยาวชนต้องการความรัก การดูแล และการยอมรับ ชุมชนคริสเตียน ทั้งคริสตจักรและชมรมในมหาวิทยาลัย มีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่ง
ณัฐสุดา มองว่าคริสตจักรหรือชุมชนคริสเตียนเป็น "ที่ๆ สำคัญมากๆ ค่ะ ที่จะฟูมฟัก ให้หัวใจของเค้าแข็งแรงและปลอดภัยมากขึ้น" เมื่อพวกเขารู้สึกปลอดภัย พวกเขาก็จะสามารถดูแลคนอื่นได้เช่นกัน เธอย้ำว่า "มนุษย์ทุกคนต้องการความรักเนาะ แล้วก็อยากได้รับการยอมรับ" การยอมรับในความเป็นเขาเป็นสิ่งสำคัญ โดยไม่ต้องพยายามปรับเปลี่ยนให้เขาเป็นเหมือนเรา
“เหมือนอวัยวะในร่างกายที่พระเจ้าให้เรา ไม่ใช่ว่ามือบอกว่าจะเป็นตามันก็ไม่ใช่ หรือจะเอามือไปเดินมันก็คงลำบากใช่ไหมคะ จริงๆ เราไม่ต้องเหมือนกัน แค่ประสานกันเป็นร่างกายเดียวกันที่มีพระเยซูเป็นศีรษะก็เพียงพอแล้วค่ะ”
การประกาศพระกิตติคุณไม่ใช่แค่การบอกข่าวความรอด แต่ต้องมีการดูแลฟูมฟักเหมือนการเลี้ยงทารก ผู้เชื่อใหม่เปรียบเสมือนทารกที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ จึงต้องมีพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณ หรือคนที่คอยดูแลให้พวกเขาเติบโต การสร้างความคุ้นเคยและสร้างความสัมพันธ์กับผู้เชื่อใหม่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องราวของพระเจ้า พระคัมภีร์ และแบบอย่างชีวิตคริสเตียน
การสร้างสาวกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทัตเทพ กล่าวว่า YFC เน้นสร้าง "สาวกของพระเยซูคริสต์" ไม่ใช่สาวกของ YFC การสร้างสาวกคือการพัฒนาวิถีชีวิตของพวกเขา และลงชีวิตกับพวกเขา เพื่อให้พวกเขากลายเป็นแสงสว่างกับคนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัย กระบวนการนี้ควรต่อเนื่อง: ผู้เชื่อใหม่เข้าร่วมชมรม รู้สึกอบอุ่น รับเชื่อ ไปคริสตจักรกับพี่ๆ ได้รับการดูแล สร้าง และฝึกฝน เพื่อให้พวกเขาสามารถออกไปประกาศและดึงคนใหม่เข้ามา วนลูปนี้ต่อไป เขามองว่า "คริสตจักรเป็นหัวใจของการประกาศ" และเยาวชนต้องเติบโตในคริสตจักรเพื่อขับเคลื่อนคริสตจักรต่อไป
“การสร้างคนไม่ใช่แค่เพื่อให้พวกเขาทำกิจกรรม แต่เพื่อให้พวกเขาติดตามพระเยซูคริสต์ และใช้พื้นที่ต่างๆ ที่มีอยู่ (คริสตจักร องค์กร ชมรม) เพื่อให้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้ามีโอกาสได้เชื่อในพระเจ้า” ต้นศักดิ์ ย้ำว่าการสร้างคนสำคัญมาก เพราะหากไม่มีการสร้างคนต่อ ภารกิจก็จะหยุดลง
“การดูแลเยาวชนเป็นเหมือนการวิ่งมาราธอน เป็นระยะยาว ไม่ใช่แค่ในมหาวิทยาลัย 4-6 ปี แต่ต้องเป็นการเดินเคียงข้างพวกเขาผ่านความท้าทายต่างๆ ในชีวิต” ณัฐสุดา อยากหนุนใจคริสตจักรให้เห็นความสำคัญของพันธกิจเยาวชนมากขึ้น ไม่ใช่แค่การใช้เงิน แต่ต้องมีคนที่พระเจ้าทรงนำในใจให้อยากทำพันธกิจนี้ ลงทุนชีวิตกับเยาวชน ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะเป็นการสร้างคนที่สามารถสร้างคนต่อไปได้
เจ้าหน้าที่ YFC ทั้งสามคนมีความหวังที่จะเห็นการฟื้นฟูทางจิตวิญญาณในประเทศไทย ณัฐสุดา เชื่อว่า "สำหรับพระเจ้าแล้วไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์" หากวัยรุ่นลุกขึ้นทำตามพระมหาบัญชา จะเห็นคนกระตือรือร้นรับใช้พระเจ้าและมีชีวิตส่วนตัวกับพระเจ้า
ทัตเทพ เชื่อว่าการฟื้นฟูสามารถเกิดขึ้นได้ "ถ้าเริ่มต้นจากการที่น้องๆ ของเราหรือว่าคริสเตียนไทย เริ่มต้นติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก ที่แบบทุกคนมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าที่ดี" การมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพระเจ้า ผ่านการเฝ้าเดี่ยว อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ชีวิตคริสเตียนล้นออกไปยังคนรอบข้างได้ เขามีความหวังที่จะเห็นคริสเตียนไทยเริ่มต้นง่ายๆ จากจุดนี้
ต้นศักดิ์ เชื่อว่าการฟื้นฟู "เป็นไปได้ทุกที่" ตราบใดที่มีคริสเตียนและนักศึกษาคริสเตียน หากมีน้องๆ ที่เอาจริงเอาจังกับการประกาศ การอธิษฐาน หรือมีชีวิตส่วนตัวที่เชื่อมโยงกับพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาเห็นประกายนี้ที่จุฬาฯ และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่เด็กๆ เริ่มก้าวขึ้นมาทำกิจกรรมเอง เขาเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่น้องๆ รวมตัวกัน เพราะทุกคนอยากมี "เพื่อนฝ่ายจิตวิญญาณ" และอยากอยู่รวมกัน