เว็บไซต์มีการใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและการตั้งค่าคุกกี้ได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้
ในสังคมที่หลายคนมองว่าเรือนจำคือ "ที่คุมขัง" หรือ "แดนสนธยา" ที่ซึ่งความหวังริบหรี่ แต่ที่ "เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา" กำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่เปลี่ยนจากแนวคิด "Prison" (คุก) ไปสู่ "Correction" (แก้ไข) ด้วยความเชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาได้ และในหัวใจของการเปลี่ยนแปลงนี้คือบทบาทของ "ศาสนา" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พันธกิจคริสเตียน" ที่เข้ามาเติมเต็มความหวังและเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้ต้องขังจากภายใน
ความหวังที่ริบหรี่ในกำแพงคุก
ผู้ต้องขังคนหนึ่งเล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในเรือนจำว่า "มันไม่มีความหวังอะไร ติดอยู่ไปวันๆ" โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่มีญาติเยี่ยม ที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เงินทอง อดีตผู้ต้องขังอีกคนเล่าถึงความโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญ 6 ปีในเรือนจำ ความโหยหาความรักและเสียงเรียกชื่อจากญาติที่ไม่มีวันมาถึง จนกระทั่งไม่อยากฟังเสียงญาติเยี่ยมของคนอื่น เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ไม่สมควรได้รับสิ่งดีๆ สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบยิ่งทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นเรื่องยากลำบาก หากคนเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขปรับปรุง เมื่อพ้นโทษออกไปก็อาจสร้างปัญหากับสังคมอย่างใหญ่หลวง
"ไลฟ์อัพ" (Live Up): พันธกิจที่เกิดจากหัวใจที่ปรารถนาดี
ท่ามกลางความท้าทายนี้ พันธกิจ Live Up "ชีวิตที่ก้าวต่อไป" โดยมูลนิธิสานสัมพันธ์ (Nexus Foundation) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการนำความหวังมาสู่ผู้ต้องขัง คุณสิริพร เชาวน์ชวานิล หรือ "พี่แก่น" ซึ่งเป็นอดีตผู้ต้องขังเอง คือผู้ดูแลหลักของพันธกิจนี้ เธอเล่าว่าเธอมี "ภาระใจ" ที่พระเจ้าเร้าใจให้ช่วยคนในเรือนจำเหมือนอย่างที่พระองค์ช่วยเธอ พันธกิจนี้ไม่ใช่แค่การสร้างคนดีในเรือนจำเท่านั้น แต่ยังรวมถึง "พันธกิจหลังปล่อยตัว" ด้วย
สิริพร เชาวน์ชวานิล หรือ "พี่แก่น" ผู้ดูแลหลักของพันธกิจ Live Up
พันธกิจ Live Up ทำงานร่วมกับเรือนจำมานานกว่าสิบปี และทำงานร่วมกับเรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยาเป็นเวลาประมาณสองปี โดยมีการเข้าเยี่ยมเรือนจำถึง 12-13 แห่งต่อเดือน โดยเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2025 (พ.ศ. 2568) ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในหลักสูตร "เปลี่ยนชีวิตด้วยจิตใจใหม่" ระหว่างมูลนิธิสานสัมพันธ์กับกรมราชทัณฑ์ การมี MOU นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการบอกถึงความตั้งใจจริงของโครงการ และทำให้การทำงานกับกรมราชทัณฑ์และเรือนจำต่างๆ ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเริ่มทำความรู้จักจากศูนย์ ผู้บริหารระดับสูงของกรมราชทัณฑ์เห็นตรงกันว่านี่จะเป็น "เครื่องมือที่ทรงพลัง" ในการช่วยปรับพฤตินิสัยและเปลี่ยนชีวิต
เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา: โรงเรียนแห่งการแก้ไข
เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยาเป็น "เรือนจำเฉพาะด้านการศึกษา" ผู้บัญชาการเรือนจำ นายธงชัย จันทร์ฉลอง อธิบายว่าที่นี่เป็นแดนการศึกษาทั้งหมด และมีการดำเนินงานฝึกวิชาชีพหลากหลาย เช่น การวาดภาพ การเชื่อม และการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ การที่ผู้ต้องขังได้มาเรียนในชั้นเรียน ทำให้พวกเขามี "น้ำดี" มากกว่า "น้ำเสีย" การทะเลาะวิวาทและการกระทำผิดระเบียบวินัยจึงลดลงเมื่อเทียบกับที่อื่น ผู้บัญชาการเชื่อว่าทุกคนสามารถพัฒนาได้ และการพัฒนาจิตใจของผู้ต้องขังเป็นสิ่งสำคัญ
ในด้านศาสนา ไม่ว่าจะเป็นคริสต์ อิสลาม หรือพุทธ ก็ล้วนช่วยให้ผู้ต้องขังใกล้ชิดศาสนามากขึ้น ผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาตให้ผู้ต้องขังที่เป็นคริสเตียนรวมกลุ่มกันในวันอาทิตย์ ซึ่งพวกเขาเรียกกันว่า "โบสถ์" โดยเปรียบได้กับการไปโบสถ์ข้างนอก เพียงแต่อยู่ในเรือนจำ
แสงแห่งความหวังที่ก่อร่างสร้างขึ้น
ผู้ต้องขังหลายคนเข้ามาในกลุ่มคริสเตียนโดยการชักชวนของเพื่อน ซึ่งบางครั้งเริ่มต้นจากการได้ "ของใช้" แต่เมื่อได้สัมผัสกับคำสอนและชีวิตของพี่น้องคริสเตียน พวกเขาก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง ผู้ต้องขังคนหนึ่งเล่าว่า ตอนแรกเขาเป็นคนหัวดื้อหัวรั้นและขี้โมโห แต่หลังจากเชื่อพระเยซู เขาก็เปลี่ยนไปมาก รู้จักให้อภัยและขอโทษคนได้เร็วขึ้น เขายืนยันว่า "ความหวังมันมีนะพี่" และความหวังนั้นคือ "สันติสุข" ที่ทำให้เขามีความสุขได้แม้จะอยู่ในเรือนจำ
หลักสำคัญที่พันธกิจนี้เน้นย้ำคือ "พระองค์รักเราอย่างที่เราเป็น แต่พระองค์ไม่ปรารถนาให้เราเป็นเหมือนอย่างที่เราเป็น" นั่นหมายความว่า แม้เราจะทำบาปอะไรมาแล้ว พระเจ้าก็ยังรักเรา แต่เมื่อรู้จักพระเจ้าแล้ว เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้ผู้ต้องขังได้รับการฝึกให้เป็น "พยานฝ่ายพระเจ้า" เพื่อบอกเล่าว่าพระเจ้ามีจริงและทรงทำอะไรในชีวิตของพวกเขาบ้าง

พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
สิ่งที่ทำให้พันธกิจ Live Up มีพลังคือการดูแลผู้ต้องขังแม้กระทั่งหลังพ้นโทษ พี่แก่นเล่าว่า มีเด็กที่ออกมาจากเรือนจำไม่กล้ากลับบ้านเพราะกลัวจะกลับไปเส้นทางเดิม พวกเขาจึงโทรหา Live Up ที่ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ ทางมูลนิธิได้ "รับเขามาแล้วก็หางานให้เขาทํา" หนึ่งในผู้ต้องขังที่ได้รับการช่วยเหลือได้ส่งจดหมายมาเล่าเรื่องราวชีวิตใหม่ของเขาว่า "มีความสุขมากๆ ที่พระเจ้าประทานพระพรมาให้ในทุกคําอธิษฐาน" ได้ทำงานก่อสร้างกับคุณปิ๊ง (ผู้ดูแล) และอยู่ในความดูแลของพี่แก่น รวมถึงยังไปนมัสการที่คริสตจักร สุขุมวิทซอย 6 ในวันอาทิตย์ ซึ่งเขาได้เจอ "พี่น้องคริสเตียนที่น่ารักมาก พวกเขาไม่รังเกียจอดีตของพวกเราเลย มีแต่จะเติมกำลังใจ"
จดหมายนั้นยังอ้างอิงพระคัมภีร์ เอเฟซัส 4:28 ที่หนุนใจว่า "คนที่เคยขโมยมาก่อนก็ให้เลิกขโมยซะ แล้วหันมาใช้สองมือทํางานสร้างประโยชน์ เพื่อที่จะได้มีสิ่งของไว้แจกคนที่ขัดสน" นี่คือหลักการที่เปลี่ยนชีวิตจากผู้รับให้เป็นผู้ให้
ก้าวต่อไปด้วยความเชื่อ
พี่แก่นและสามีตัดสินใจทุ่มเทชีวิตให้กับพันธกิจนี้ แม้สามีจะหวั่นใจ แต่เธอมั่นใจว่าจะทำต่อไปเพราะเธอ "รับมาอย่างเต็มมาก" และอยากจะให้กลับคืนไป เธอเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าว่าผู้ต้องขังจะเปลี่ยนได้ แม้ในกลุ่ม 30 คน จะมีเพียงคนเดียวที่ติดต่อกลับมาหลังพ้นโทษ ก็ถือว่า "ชื่นใจ" แล้ว ขณะที่ผู้บัญชาการเรือนจำยังย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงคนหนึ่งคนอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครอบครัว หมู่บ้าน และแม้กระทั่งประเทศชาติได้
"คุกในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่คุมขังเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งการพัฒนา ปรับปรุงแก้ไข และก็สร้างชีวิตของคนด้วยครับ" ผู้บัญชาการเรือนจำกล่าวทิ้งท้ายว่านี่คือภาพใหม่ของเรือนจำ ที่กำลังขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งความรักและความเชื่อ เพื่อนำผู้ต้องขังให้กลับมาเห็นคุณค่าของตัวเอง มีความหวัง และไม่กลับไปทำผิดซ้ำอีก
พันธกิจ Live Up ยังคงต้องการกำลังใจและแรงสนับสนุน เพื่อขยายอาณาจักรของพระเจ้าเข้าไปในที่ที่หลายคนเข้าไม่ถึงได้ที่แฟนเพจ Live Up ชีวิตที่ก้าวต่อไป เพื่อที่ผู้ต้องขังทุกคนจะได้พบกับ "ชีวิตที่พระเจ้าชอบใจ" และไม่ว่าจะเป็นใคร ทำบาปอะไรมาแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะพระองค์ทรงรักเราอย่างที่เราเป็น นี่คือเรื่องราวของความหวังและโอกาสที่เกิดขึ้นจริงในกำแพงเรือนจำ และรับชมเรื่องราวเพิ่มเติมได้ในรายการ The Survivor ภารกิจ ชีวิต ความรอด ตอน "โบสถ์คริสต์...ในคุก!" ได้ทาง CGN Thai