5 สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยืนยัน "การทรงสร้าง" ความจริงของพระคัมภีร์อยู่เหนือทฤษฎีวิวัฒนาการ
5 สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยืนยัน "การทรงสร้าง" ของพระเจ้า ดร.โธมัส จาก ICR ชี้จากสิ่งที่เห็นชัด ความจริงของพระคัมภีร์อยู่เหนือทฤษฎีวิวัฒนาการ
จากสัมมนาเรื่อง "การทรงสร้าง" ในหัวข้อ "How Did We Get Here?" โดย ดร.ไบรอัน โธมัส นักวิทยาศาสตร์วิจัยและอาจารย์ด้านชีวเคมีโบราณ
ดร.ไบรอัน โธมัส (Dr. Brian Thomas) นักวิทยาศาสตร์วิจัยจากสถาบัน Institute for Creation Research (ICR) สถาบันวิจัยชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์การทรงสร้างในสหรัฐอเมริกา วิทยากรรับเชิญงานสัมมนาเรื่องการทรงทร้าง มาบรรยายในหัวข้อ "How Did We Get Here?" ที่จัดโดย SU Thailand (Scripture Union Thailand) เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2025 ณ คริสตจักร Evangelical Church of Bangkok (ECB) โดยในงานนี้ ดร.โธมัส ได้แบ่งปันมุมมองทางวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่ได้เป็นผลจากวิวัฒนาการหรือความบังเอิญทางธรรมชาติ แต่เป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงการทรงสร้างของพระเจ้าอย่างชัดเจน
ดร.โธมัส เคยเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมั่นในแนวคิดวิวัฒนาการแบบที่ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าสอนมาโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อได้ศึกษาหลักฐานเชิงลึกทั้งทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ เขาพบว่ามุมมองของตนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาตระหนักว่าการยกย่อง "กระบวนการทางธรรมชาติ" นั้น เป็นการให้เกียรติแก่สิ่งที่ไม่สมควรได้รับ เพราะแท้จริงแล้ว พระเจ้าคือผู้ที่ทรงสมควรได้รับการยกย่องในฐานะพระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง
พระคัมภีร์ได้กล่าวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปฐมกาลว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหมด และแม้ว่ามนุษย์อาจพยายามหลีกหนีความจริงนี้เพราะไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดแนวทางชีวิต แต่หลักฐานจากธรรมชาติก็มีมากมายเหลือเกิน ทั้งการทรงสร้างและเหตุการณ์น้ำท่วมโลกที่ถูกบันทึกไว้ในปฐมกาล บทที่ 1 ถึง 11 ล้วนเป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง แม้สังคมปัจจุบันจะเย้ยหยัน แต่หลักฐานก็ยังคงชัดเจนเกินกว่าจะมองข้ามได้
ดร.โธมัส จึงเสนอ "ผลลัพธ์ 5 ประการที่เห็นได้ชัดเจน" (5 Clearly Seen Results) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการทรงสร้างและน้ำท่วมโลกนั้นเป็นความจริงที่ยืนยันได้ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์
1. วิศวกรรมที่ซับซ้อนยืนยันการมีผู้ออกแบบผู้ทรงปัญญา
ผลลัพธ์แรกที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การออกแบบทางชีววิศวกรรมของสิ่งมีชีวิตที่ละเอียดและซับซ้อนเกินกว่าจะเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ ตัวอย่างเช่น "ปลาโกบี" (Goby fish) หรือที่ชาวฮาวายเรียกว่า "ปลาอูพู" (Oopoo fish) ปลาตัวเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในทะเล แต่จะต้องว่ายขึ้นไปในน้ำจืดบนภูเขาเพื่อวางไข่ สิ่งที่น่าทึ่งคือ มันต้องปีนหน้าผาสูงกว่า 200 ฟุต เพื่อไปถึงแหล่งน้ำจืดนั้น
ปลาโกบีมีระบบยึดเกาะพิเศษสองส่วน ส่วนแรกคือปากที่ทำหน้าที่เป็นถ้วยดูด (suction cup) สำหรับเกาะพื้นหิน ส่วนที่สองคือถ้วยดูดอีกอันที่อยู่บริเวณท้อง ปลาจะใช้ปากจับหินก่อน แล้วค่อยขยับท้องขึ้นไปและยึดด้วยถ้วยดูดที่ท้อง จากนั้นปล่อยปากเพื่อ "ก้าว" ขึ้นไปบนหน้าผา การทำงานที่ประสานกันอย่างแม่นยำนี้ต้องอาศัยทั้ง "ฮาร์ดแวร์" (ร่างกายและอวัยวะ) และ "ซอฟต์แวร์" (สัญชาตญาณที่ฝังอยู่ภายใน) ซึ่งทั้งหมดต้องเกิดขึ้นพร้อมกันและสมบูรณ์ตั้งแต่ต้น มิฉะนั้นปลาจะไม่สามารถดำรงชีวิตได้
สิ่งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากกระบวนการวิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องมาจากผู้ออกแบบผู้มีปัญญา พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างที่สมบูรณ์แบบ พระองค์ทรงออกแบบสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดให้มีระบบและหน้าที่เฉพาะที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของพระองค์

ปลาโกบี ปลาตระกูลเดียวกับปลาบู่ ใช้ถ้วยดูดเกาะพื้นหินในการปีนน้ำตก2. กฎของฟิสิกส์ยืนยันจุดเริ่มต้นจากอำนาจเหนือธรรมชาติ
ดร.โธมัส อธิบายว่า กฎพื้นฐานที่สุดของฟิสิกส์คือ กฎข้อที่ 1 และ 2 ของอุณหพลศาสตร์ (Thermodynamics) ซึ่งบ่งชี้ถึงการมีจุดเริ่มต้นของจักรวาลที่มาจากอำนาจเหนือธรรมชาติ
กฎข้อที่ 1 (การอนุรักษ์มวลและพลังงาน) ระบุว่า สสารและพลังงานไม่สามารถถูกสร้างหรือทำลายได้ ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดบิ๊กแบงที่อ้างว่าจักรวาลเริ่มจาก "ไม่มีอะไร" กลายเป็น "ทุกสิ่ง" เพราะหากไม่มีแหล่งพลังงานเริ่มต้น สสารก็ไม่สามารถเกิดขึ้นเองจากความว่างเปล่าได้
กฎข้อที่ 2 (เอนโทรปี) กล่าวว่าทุกระบบมีแนวโน้มเสื่อมลงและสูญเสียพลังงาน เมื่อเวลาผ่านไป หากจักรวาลมีอยู่ชั่วนิรันดร์ ดาวทุกดวงควรจะดับไปหมดแล้ว
ทั้งสองกฎนี้ทำให้เห็นว่า จักรวาลไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเองตามธรรมชาติ แต่ต้องมี "ผู้สร้าง" ที่อยู่นอกเหนือกาลเวลาและธรรมชาติ เป็นผู้ให้กำเนิดทุกสิ่ง ซึ่งพระคัมภีร์กล่าวไว้ชัดว่า "ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก" (ปฐมกาล 1:1) นี่คือคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดทางวิทยาศาสตร์

ตามแบบจำลองกำเนิดเอกภพแบบบิ๊กแบง เชื่อว่าเอกภพของเรามีอายุราว 13.8 พันล้านปี แต่หากอ่านพระคัมภีร์อย่างตรงไปตรงมา รวมถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์และคำยืนยันของพระเยซูคริสต์ จะพบว่าเอกภพมีอายุเพียงประมาณ 6,000 ปีเท่านั้น3. การบินยืนยันว่าการออกแบบต้องมาจากบุคคล ไม่ใช่กระบวนการ
ตัวอย่างของการบินเป็นสิ่งที่แสดงถึงความชาญฉลาดของผู้สร้างได้อย่างงดงาม พี่น้องตระกูลไรท์ (Orville และ Wilbur Wright) ผู้คิดค้นเครื่องบิน ล้มเหลวหลายครั้งเมื่อพยายามออกแบบเครื่องร่อนที่ใช้ปีกคงที่ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ประสบความสำเร็จเมื่อเริ่มศึกษา "นก" และเลียนแบบการทำงานของปีกที่ยืดหยุ่นและมีระบบควบคุมสมดุล
หลักการของการบิน เช่น การไหลของอากาศเหนือปีกตามหลักของแบร์นูลลี ไม่ได้เกิดจากการคาดเดา แต่เป็นผลจากการศึกษา "สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างไว้แล้ว" ความสามารถของสิ่งมีชีวิตที่บินได้ ตั้งแต่นก ผีเสื้อ ไปจนถึงค้างคาว ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งต้องอาศัยการประสานกันของโครงสร้าง ปีก กล้ามเนื้อ ระบบประสาท และสัญชาตญาณที่ละเอียดอ่อน
มนุษย์ผู้มีปัญญายังต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อคัดลอกสิ่งที่พระเจ้าทรงออกแบบไว้แล้ว นั่นจึงเป็นหลักฐานชัดเจนว่า การบินไม่ได้เกิดจากกระบวนการธรรมชาติ แต่เป็นผลงานของพระผู้สร้างผู้ทรงสติปัญญาอย่างไม่มีข้อกังขา

ออวิลล์ ไรต์ (ขวา) และ วิลเบอร์ ไรต์ (ซ้าย) ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสองคนแรกที่ได้ออกแบบและสร้างเครื่องบินมีเครื่องยนต์ที่ใช้ได้จริง4. รูปแบบหินทั่วโลกชี้ถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลก
อัครทูตเปโตรเคยพยากรณ์ว่า "ในวาระสุดท้ายจะมีคนเยาะเย้ยที่จงใจลืมการทรงสร้างและน้ำท่วมโลก" (2 เปโตร 3:3-6) ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน แต่หลักฐานทางธรณีวิทยากลับชี้ชัดว่าน้ำท่วมโลกไม่ได้เป็นเพียงเรื่องในตำนาน
ดร.ทิม แคลรี (Dr. Tim Clarey) นักธรณีวิทยาปิโตรเลียมและเพื่อนร่วมงานของ ดร.โธมัส ได้ทำการสำรวจและจัดทำแผนที่ชั้นหินทั่วโลกนานกว่า 10 ปี พบว่ามี "ชุดชั้นหินขนาดใหญ่" (Mega-sequences) ถึง 6 ชุด ที่ปรากฏอยู่บนทุกทวีปในรูปแบบที่สอดคล้องกันอย่างน่าทึ่ง การเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบของชั้นหินเหล่านี้บ่งชี้ถึงกระบวนการทับถมอย่างรุนแรงระดับโลก ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
เมื่อพิจารณาลำดับของซากฟอสซิลที่พบ สัตว์ทะเลอยู่ชั้นล่างสุด สัตว์ในพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่ตรงกลาง และสัตว์บกอยู่ชั้นบนสุด จะเห็นว่านี่ไม่ใช่หลักฐานของวิวัฒนาการ แต่เป็นหลักฐานของ "การทับถมตามระดับพื้นที่" ในระหว่างที่น้ำท่วมโลกกำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รูปแบบหินทั่วโลกนี้จึงยืนยันได้ว่า เหตุการณ์น้ำท่วมในสมัยโนอาห์เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในระดับโลก ไม่ใช่เพียงตำนานที่เล่าขาน

การลำดับชั้นหินตะกอนในแกรนด์ แคนยอน สหรัฐอเมริกา แต่ละยอดเขาสามารถเทียบเคียงการลำดับชั้นหินได้5. เนื้อเยื่ออ่อนในซากดึกดำบรรพ์ยืนยันช่วงเวลาที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งที่สุด คือการค้นพบ "เนื้อเยื่ออ่อน" (soft tissues) และ "ชีวเคมีดั้งเดิม" (original biochemistry) ที่ยังคงอยู่ในซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล ซึ่งไม่ควรจะหลงเหลืออยู่ได้หากซากเหล่านั้นมีอายุหลายสิบล้านปีตามที่ทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวอ้าง
รายงานการค้นพบจำนวนมากในวารสารวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติระบุว่า พบสารชีวภาพดั้งเดิม เช่น ผิวหนังคอลลาเจนบนกระดูกไดโนเสาร์ Siticosaurus, เซลล์กระดูก (Osteocytes) ในซากเต่าที่ถูกกัดกร่อน, ดีเอ็นเอและเซลล์สร้างกระดูกอ่อนในนกที่สูญพันธุ์ไปแล้ว, เซลล์เม็ดเลือดแดงและหลอดเลือดในซากไดโนเสาร์ Tarbosaurus, ฮีโมโกลบินและเรตินาในดวงตาของซาก Mosasaur ที่ยังคงมีสีม่วงอยู่ และหลอดเลือดที่ยืดหยุ่นและโปร่งใสภายในกระดูก T-Rex ซึ่งอ้างว่ามีอายุ 68 ล้านปี
นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบถึงกับกล่าวว่า นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หากซากเหล่านี้เก่าแก่ตามที่เชื่อกันมา เหตุผลที่อธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์มากที่สุด คือ ซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้ไม่ได้มีอายุหลายสิบล้านปี แต่เพิ่งถูกทับถมเมื่อไม่นานมานี้ อันสอดคล้องกับกรอบเวลาตามพระคัมภีร์ที่กล่าวว่ามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายถูกสร้างขึ้นเมื่อไม่กี่พันปีก่อนเท่านั้น
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Paleontology ระบุว่า ไม่มีแร่ธาตุใดเข้าไปแทนที่หรือจำลองส่วนของเนื้อเยื่ออ่อนเลย วัสดุคาร์บอนที่อยู่ในผนังฟอสซิลนั้นเป็นของดั้งเดิม ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงหรือแทนที่ ทำให้ยังคงเห็นชั้นโครงสร้างเดิมของผนัง รวมถึงพื้นผิวและลักษณะเนื้อภายในได้อย่างชัดเจน (icr.org)ความรับผิดชอบต่อพระผู้สร้าง
หลักฐานทั้งห้าประการนี้ ไม่เพียงแต่ยืนยันความถูกต้องของพระคัมภีร์ แต่ยังเปิดเผยถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้าง ตั้งแต่การออกแบบทางชีววิศวกรรมอันซับซ้อน ไปจนถึงกฎฟิสิกส์ที่ชี้ว่าจักรวาลต้องมีจุดเริ่มต้นเหนือธรรมชาติ การจัดเรียงของชั้นหินทั่วโลก และการคงอยู่ของเนื้อเยื่ออ่อนในซากฟอสซิล ทั้งหมดนี้ล้วนประกาศเสียงเดียวกันว่า "พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง"
ดังนั้น อย่าให้ใครบอกว่าวิทยาศาสตร์หักล้างพระคัมภีร์ เพราะเมื่อมองอย่างถ่องแท้ วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือที่ช่วยยืนยันพระคำของพระเจ้า
และหากพระคัมภีร์ถูกต้อง เราทุกคนก็มีความรับผิดชอบต่อพระผู้สร้าง พระองค์ผู้ทรงพิพากษาโลกด้วยน้ำในสมัยนั้น จะทรงพิพากษาอีกครั้งหนึ่ง แต่ข่าวดีคือ พระเยซูคริสต์ทรงเปิดทางแห่งความรอดให้กับทุกคน เหมือนที่โนอาห์และครอบครัวได้รับความรอดบนเรือ พระองค์ทรงเชิญเราให้เข้ามาในความรอดนั้น ผ่านทางความเชื่อในพระองค์ เพื่อจะได้มีชีวิตนิรันดร์ในพระคริสต์
ดร.โธมัส ใหัสัมภาษณ์กับ CGN Thai News ถึงเส้นทางความคิดของเขา จากคนที่เคยสงสัยพระคำในปฐมกาล มาสู่การเชื่อในพระคัมภีร์ทุกถ้อยคำ ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจากการศึกษาธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง ดร.โธมัส เล่าว่า เมื่อเขามองเห็นความประณีตในการออกแบบ ภายในโลกของชีววิทยา เขาตระหนักว่าต้องมีพระผู้สร้างอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งมีชีวิตถูกออกแบบให้ทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม เช่น นกบินได้ ปลาว่ายน้ำได้ แต่สิ่งมีชีวิตยังถูกออกแบบให้ปรับตัวระหว่างรุ่น ได้ด้วย นกสามารถเปลี่ยนขนหรือขนาดตัวในช่วงรุ่นต่อรุ่น ซึ่งสำหรับเขา นี่คือหลักฐานของการออกแบบที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง จากจุดนั้น เขาเริ่มตั้งคำถามที่เป็นหัวใจสำคัญของการสนทนากับคนรอบตัวว่า "เรามาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร? ความประณีตทั้งหมดนี้มาจากไหน?" คำถามนี้เองที่ช่วยเปิดบทสนทนาไปสู่การมองหาพระผู้สร้าง
โลกทัศน์คริสเตียน: รากฐานของวิทยาศาสตร์ที่ดี
เมื่อพูดถึงบริบทไทย ซึ่งกำลังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี การแพทย์ และการวิจัยชีววิทยาศาสตร์ขั้นสูง ดร.โธมัสตั้งคำถามว่า สิ่งใดคือแรงผลักดันที่ทำให้เรายกระดับเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นเช่นนี้ และเรามองสิ่งนี้อย่างสมดุลหรือไม่ เขาอธิบายว่า วิทยาศาสตร์ที่ดีซึ่งสังคมต้องการนั้น แท้จริงแล้วมีรากมาจาก “โลกทัศน์คริสเตียน” ซึ่งวางรากฐานทางความคิดหลายประการ ได้แก่ "เวลาเดินไปข้างหน้า" พระคัมภีร์นำเสนอเวลาที่เคลื่อนไปจากการทรงสร้างสู่อนาคต ต่างจากแนวคิดแบบวัฏจักรไม่รู้จบ ซึ่งมีผลต่อวิธีคิดด้านการวิจัยและพัฒนา "คุณค่าของมนุษย์แต่ละคน" คนถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐมกาลบทที่ 1) จึงมีคุณค่า การแพทย์และงานวิจัยมีความหมายเพราะเราต้องการช่วยชีวิตที่มีคุณค่า อาณัติแห่งการครอบครอง (Dominion Mandate) พระเจ้าตรัสให้อาดัมและเอวาจัดการดูแลโลก การจัดการต้องเริ่มจากการ เข้าใจโลก ซึ่งเปิดทางให้เกิดการศึกษาธรรมชาติ หรือก็คือวิทยาศาสตร์
สำหรับ ดร.โธมัส วิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด แต่เป็นผลพลอยได้ตามธรรมชาติ ของรากฐานความคิดแบบคริสเตียนที่สังคมได้รับมาตั้งแต่แรก
พระกิตติคุณ: ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเทคโนโลยี
แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวขึ้น ดร.โธมัสกล่าวว่า จุดสำคัญยังคงอยู่ที่ความจริงในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์ทุกคนต้องตายในวันหนึ่ง ถ้าความเชื่อคริสเตียนถูกต้อง มนุษย์คือคนบาปที่ต้องการพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ที่กลับใจและวางใจในพระคริสต์จะได้รับพระสัญญาเกี่ยวกับชีวิตใหม่ อนาคตใหม่ และพระกายที่ไม่เสื่อมสลาย
ดร.โธมัส กล่าวว่า "นี่คือประโยชน์สูงสุดที่เราไม่ต้องรับโทษที่ควรได้รับ ส่วนวิทยาศาสตร์ที่ดีเป็นเพียงผลดีที่ตามมาจากความจริงนี้"
คำแนะนำถึงผู้เชื่อ: ศึกษาโลกและพระคำควบคู่กัน
ดร.โธมัสหนุนใจให้คริสเตียนถือ “สองสิ่งไว้ด้วยกัน” คือ ศึกษาโลกที่พระเจ้าสร้าง (วิทยาศาสตร์) และศึกษาพระคำที่พระเจ้าประทาน (พระคัมภีร์)
เขายกตัวอย่าง เซอร์ไอแซก นิวตัน ผู้ก่อตั้งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ที่ทำการค้นพบยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ศึกษาพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้ง และเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระคัมภีร์มากกว่าผลงานด้านวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ
สำหรับ ดร.โธมัส พระคำและโลกดำเนินควบคู่กันเสมอ และทั้งสองอย่างช่วยให้เราเข้าใจพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
________________________________________
ติดตาม CGN Thai News ข่าวสารสำหรับคริสเตียนไทย ได้ทาง
Facebook