เว็บไซต์มีการใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและการตั้งค่าคุกกี้ได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้
ท่ามกลางตัวเลขลดลง ออสเตรเลียกลับกำลังประสบ “คลื่นการฟื้นฟู” งานวิจัยชี้ ผู้สูงอายุ-เยาวชน กลับใจเชื่อในพระคริสต์เพิ่มขึ้นอย่างเงียบๆ
Christianity Today เผยแพร่บทความหลังจากที่มีผลสำรวจสำมะโนประชากรล่าสุดเผยว่า สัดส่วนของผู้ระบุว่าเป็นคริสเตียนในออสเตรเลียลดลงต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรเป็นครั้งแรก ที่ 44% และมีผู้ระบุว่า “ไม่มีศาสนา” ถึงเกือบ 40% แต่ผลงานวิจัยและพยานจากคริสตจักรท้องถิ่นหลายแห่งกลับชี้ให้เห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ นำผู้คนหลายแสนคนกลับมาสู่ความเชื่อในพระเยซูคริสต์
ตัวเลขไม่ใช่เรื่องทั้งหมด: ความเชื่อยังคงดำเนินอยู่
มาร์ค แมคครินเดิล นักประชากรศาสตร์และนักวิเคราะห์ทางสังคมจากบริษัท McCrindle กล่าวว่า ตัวเลขในสำมะโนประชากรของออสเตรเลียอาจไม่สะท้อนภาพรวมของชีวิตฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง เขาเชื่อว่าผู้คนจำนวนมากไม่ได้ลดทอนความเชื่อ แต่กำลังตีความคำถาม ในแบบใหม่ โดยคำตอบว่า "ไม่มีศาสนา" อาจไม่ใช่การปฏิเสธพระเจ้า แต่สะท้อนความไม่ผูกพันกับสถาบันทางศาสนา หรือการแยกความแตกต่างระหว่าง “คริสเตียนตามวัฒนธรรม” กับ “ผู้ดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างจริงจัง”
แมคครินเดิลเผยว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้คนมากกว่า 784,000 คนที่ระบุในสำมะโนประชากรว่ากลับมาเป็นคริสเตียน หลังจากเคยตอบว่าไม่มีศาสนาในการสำรวจครั้งก่อน ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เห็นได้ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา สะท้อนถึงความซื่อตรงของผู้คนที่ตอบคำถามตามสภาพความเชื่อที่แท้จริง
การทรงเรียกที่ไม่จำกัดวัย: ผู้สูงอายุและเยาวชนกลับใจเชื่อ
สิ่งที่น่าสนใจคือ กลุ่มผู้มีอายุ 55 ปีขึ้นไปที่กลับใจเชื่อในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีมากถึง 195,000 คน คิดเป็น 25% ของจำนวนผู้เชื่อใหม่ทั้งหมด ในขณะที่กลุ่มเยาวชนอายุ 15–24 ปี แม้จะเป็นกลุ่มที่มักถูกมองว่าออกจากความเชื่อมากที่สุด กลับมีแนวโน้มเปิดใจกับเรื่องฝ่ายวิญญาณ และผู้ที่เป็นคริสเตียนในช่วงวัยนี้ มักมีความเชื่อที่ลึกซึ้งและร่วมสามัคคีธรรมในคริสตจักรอย่างสม่ำเสมอ
พยานชีวิต: เมื่อพระเจ้าทรงเรียกในวัย 75 ปี
คริสติน ฮิลล์ วัย 75 ปี คือพยานชีวิตหนึ่งในกระแสนี้ เธอเติบโตในครอบครัวที่ไม่ได้มีพื้นฐานคริสเตียน แต่เมื่อเข้าสู่วัยชรา เธอกลับ "รู้จักและยอมรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า" หลังจากประสบเหตุการณ์ที่ทำให้เธอเริ่มอธิษฐานวิงวอน พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเธอและนำเธอเข้าสู่ความเชื่อ เธอเริ่มอ่านหนังสือของนักปฏิรูปโปรเตสแตนต์ (Puritans) และบทความด้านหลักคำสอนคริสเตียน จากนั้นจึงซื้อพระคัมภีร์ฉบับ King James มาอ่าน และนำสิ่งของที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อคริสเตียนออกจากบ้าน ต่อมาเธอได้รับบัพติศมาและเข้าร่วมสามัคคีธรรมในคริสตจักรท้องถิ่น
"พระเจ้าทรงเปลี่ยนฉัน ทำให้ฉันอ่อนโยนขึ้น และฉันอธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้ฉันเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น ทั้งในจิตใจ ความคิด และจิตวิญญาณ" คริสตินกล่าวด้วยความมั่นใจว่า "พระเจ้าทรงอยู่กับฉันตลอดเวลา เพราะพระองค์ไม่มีวันปล่อยให้แกะหลงทางอย่างฉันหลุดจากสายพระเนตร"
คลื่นแห่งการฟื้นฟู: พระเจ้าทรงกระทำงานในใจคน
ศิษยาภิบาลแอนดรูว์ กริลส์ แห่งคริสตจักร City on a Hill เมืองจีลอง รัฐวิคตอเรีย กล่าวถึง "คลื่น" ของผู้เชื่อใหม่ที่หลั่งไหลเข้ามาในคริสตจักร โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว และหลายครั้งก็เป็นชายหนุ่มมากกว่าหญิงสาว ผู้คนมากมายแบ่งปันเรื่องราวการกลับใจเชื่อ ทั้งจากแรงบันดาลใจของจดหมายจากรุ่นปู่ย่า หรือแม้แต่การได้ยินเสียงของพระเจ้าทรงเรียกโดยตรง
"เราไม่ได้สื่อสารพระกิตติคุณได้ดีขึ้น แต่พระเจ้าทรงกระทำสิ่งที่เรามักได้ยินว่ามักเกิดขึ้นหลายที่ในโลก นั่นคือพระองค์ทรงสำแดงพระองค์โดยตรงกับผู้คน" ศิษยาภิบาลกริลส์กล่าว
การแสวงหาใหม่หลังยุคที่ไม่เปิดเผยความเชื่อ
แมคครินเดิลอธิบายว่าสังคมออสเตรเลียในวันนี้ แม้จะเรียกว่าเป็น "หลังคริสตศาสนา" (Post-Christian) ก็ยังถือว่าเรื่องศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวด้วย ผู้คนจำนวนมากเริ่มพบว่า "ความฝันแบบออสซี่" ที่เน้นความสำเร็จทางวัตถุ ไม่สามารถตอบคำถามด้านความหมายและจุดประสงค์ของชีวิตได้ คริสตศาสนาจึงกลับมาเป็นคำตอบที่สำคัญในจิตใจของหลายคน
สตีเฟน แมคอัลไพน์ ผู้เขียนหนังสือ Being the Bad Guys ชี้ว่า ชายหนุ่มจำนวนมากรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจากวัฒนธรรม และกำลังมองหาความหมายที่ลึกซึ้ง หรือการทรงอยู่ของพระเจ้าที่แท้จริง เขายังกล่าวว่า บุคคลอย่าง จอร์แดน ปีเตอร์สัน นักจิตวิทยาและนักวิจารณ์วัฒนธรรม เป็นประตู ที่นำชายหนุ่มหลายคนเข้าสู่คริสตจักร เพราะเขากล้าที่จะยืนหยัดต่อสิ่งที่เขาเห็นว่าผิดในสังคม
คริสตจักรลุกขึ้นรับการเก็บเกี่ยว
แมคครินเดิลกล่าวว่า คริสตจักรควรเปลี่ยนมุมมองจากความสิ้นหวัง มาเป็นการมองเห็น "โอกาสอันยิ่งใหญ่" ที่พระเจ้าทรงมอบให้ ทั้งในกลุ่มเยาวชนที่เปิดใจกับความเชื่อ กลุ่มผู้สูงวัยที่แสวงหาความหมาย และผู้อพยพที่นำความหลากหลายและความร้อนรนฝ่ายวิญญาณมาสู่ประเทศ
ศิษยาภิบาลกริลส์ระบุว่า แม้พระเจ้าทรงนำผู้คนมาสู่พระองค์ผ่านวิธีเหนือธรรมชาติ แต่คริสตจักรก็ยังต้องมีบทบาทอย่างเต็มที่ในการ "ประกาศพระกิตติคุณ" ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น หลักสูตร Alpha ที่คริสตจักรของเขาจัดอย่างต่อเนื่อง "เมื่อเราเห็นพระเจ้าทรงกระทำสิ่งเหนือธรรมชาติ มันช่วยให้เราทำสิ่งปกติให้ดีขึ้น" เขากล่าว พร้อมเสริมว่า "การเก็บเกี่ยวมีมากมาย" โดยคริสตจักรเห็นคนหนุ่มสาวจำนวนมากละทิ้งอาชีพของตน เพื่อเข้าสู่การรับใช้เต็มเวลา
แม้เขาจะลังเลที่จะเรียกสิ่งนี้ว่า "การฟื้นฟูครั้งใหญ่" แต่เขายืนยันว่า "นี่คือการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน" และเป็น "ช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟู" ที่พระเจ้าทรงกระทำในออสเตรเลีย
ที่มา: Christianity Today