เอไอวิเคราะห์ม้วนทะเลเดดซี ชี้ข้อความพระคัมภีร์บางส่วนเก่าแก่กว่าที่คิด
เอไอช่วยเปิดม่านประวัติศาสตร์: ม้วนหนังสือทะเลเดดซีอาจเก่าแก่กว่าที่เคยเชื่อ ย้ำความมั่นคงของพระวจนะตลอดหลายพันปี
นักวิจัยนานาชาติเปิดเผยการค้นพบครั้งสำคัญ เมื่อพวกเขาใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ร่วมกับการหาอายุด้วยคาร์บอนและการวิเคราะห์ลายมือ เพื่อประเมินอายุของ ม้วนหนังสือทะเลเดดซี (Dead Sea Scrolls) ใหม่อีกครั้ง และผลลัพธ์ก็เปลี่ยนความเข้าใจที่เรามีต่อเอกสารโบราณทางศาสนาเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง
ม้วนหนังสือทะเลเดดซีถือเป็นขุมทรัพย์ทางศาสนาและประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดชุดหนึ่งของโลก หลายชิ้นเป็นสำเนาเก่าแก่ที่สุดของพระคัมภีร์ไบเบิล และถูกเขียนลงบนหนังสัตว์เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน โดยถูกค้นพบจากถ้ำคุมราน (Qumran) ระหว่างปี 1946–1956 ในรูปของชิ้นส่วนจำนวนมาก แม้ว่าจะรู้ว่าม้วนหนังสือเหล่านี้มีอายุระหว่าง 2,500 ถึง 1,800 ปี แต่มีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่มีการระบุวันที่เขียนอย่างแน่ชัด
การกำหนดอายุของชิ้นส่วนอื่นๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจว่าแนวคิด ความเชื่อ และพระวจนะของพระเจ้าในยุคนั้นได้ถูกส่งต่อและวิวัฒน์อย่างไรตลอดยุคสมัย

ม้วนหนังสือเดดซีถูกค้นพบในโถที่ถ้ำคุมราน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตเวสต์แบงก์ (Flickr: Lux Moundi / CC BY 2.0)
วิธีเก่ากับข้อจำกัดเดิม
การหาอายุด้วยคาร์บอน ซึ่งเป็นวิธีทางโบราณคดีที่ใช้กันมานาน แม้มีประโยชน์แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น เสี่ยงต่อการปนเปื้อน ผลลัพธ์อาจคลาดเคลื่อน และที่สำคัญ—เป็นกระบวนการที่ทำลายวัตถุตัวอย่าง แม้จะใช้เพียงเศษเสี้ยวของกรัม แต่ม้วนหนังสือเหล่านี้มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและศาสนาสูงมาก
อีกวิธีหนึ่งคือการศึกษารูปลักษณ์ของตัวเขียน (palaeography) ซึ่งอิงจากลายมือในยุคต่างๆ แต่ก็มีความไม่แน่นอนเช่นกัน

ม้วนหนังสือเดดซีส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษาฮีบรู แต่บางส่วนเขียนด้วยภาษาอราเมอิก กรีก ละติน และอาหรับ (ที่มา: หอสมุดรัฐสภาสหรัฐอเมริกา/Matson Photo Service)เอไอกับก้าวใหม่ของการวิจัย
ทีมวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์มลาเดน โปโปวิช จากมหาวิทยาลัยโกรนิงเกน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้คิดวิธีใหม่ขึ้น โดยใช้ AI วิเคราะห์จากภาพดิจิทัลของม้วนหนังสือแทนการสัมผัสของจริง พวกเขาฝึกโมเดล AI ชื่อว่า “Enoch” ด้วยม้วนหนังสือ 24 ชิ้นที่ผ่านการหาอายุด้วยคาร์บอนแล้ว เพื่อให้เอไอเรียนรู้และทำนายอายุของอีก 135 ชิ้นต่อไป ซึ่งจุดเด่นของวิธีนี้คือสามารถวิเคราะห์ได้โดยไม่สร้างความเสียหายบนม้วนหนังสือเลย
ผลการทำนายของ Enoch สอดคล้องกับการหาอายุด้วยคาร์บอนถึง 79% และนำไปสู่การค้นพบว่า หลายชิ้นอาจเก่าแก่กว่าที่เคยคิดไว้ โดยบางชิ้นนานขึ้นหลายสิบปี
ข้อความในพระคัมภีร์ที่อาจร่วมยุคกับต้นฉบับ ซึ่งมีม้วนหนังสือ 2 ชิ้นที่โดดเด่นในการวิจัยนี้ ได้แก่
ม้วนหนังสือชิ้นหนึ่งที่มีข้อความจากหนังสือดาเนียล ชิ้นส่วนหนึ่งถูกหาอายุได้ว่าเขียนขึ้นราวปี 230–160 ก่อนคริสตกาล ซึ่งนับว่าเก่ากว่าที่เคยประเมินไว้ถึง 100 ปี และอาจร่วมสมัยกับเหตุการณ์ที่ข้อความกล่าวถึง
ขณะที่ม้วนหนังสืออีกชิ้นหนึ่งที่มีข้อความจากหนังสือปัญญาจารย์ เดิมเชื่อกันว่าเขียนขึ้นราวศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล แต่เอไอกลับระบุว่าอยู่ในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล
หากการวิเคราะห์นี้ถูกต้อง นั่นหมายความว่าเราได้ค้นพบ ข้อความพระคัมภีร์ที่รอดชีวิตมาจากช่วงเวลาที่มันถูกประพันธ์ขึ้นจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในวงการโบราณคดี
นักวิจัยใช้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่อ้างอิงในพระคัมภีร์เพื่อระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเขียนขึ้นเมื่อใด (Wikimedia Commons: Osama Shukir Muhammed Amin / CC BY-SA 4.0)
ดร.กาเรต แวร์น ผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์อิสราเอลโบราณกล่าวว่า นี่เป็น “ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่สุด” ในวงการนับตั้งแต่มีการพัฒนาวิธีหาอายุแบบดั้งเดิมเมื่อยุค 1940 เขากล่าวว่า "สิ่งนี้ทำให้เราต้องคิดถึงบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ที่ม้วนหนังสือถูกผลิตขึ้นด้วยวิธีใหม่ๆ"
ในขณะที่ ดร.แอนเดรีย ยาลันโดนี นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยกริฟฟิทท์ ออสเตรเลีย เสริมว่า แม้เอไอยังมีข้อจำกัดเพราะฝึกจากข้อมูลชุดเล็ก แต่การผสานวิธีคาร์บอนและการวิเคราะห์ตัวเขียนเข้าด้วยกัน ถือเป็นแนวทางที่ชาญฉลาดและสมดุล เธอกล่าวว่า "พวกเขาได้กำหนดอายุด้วยคาร์บอนแล้วประเมินด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาตัวเขียน นั่นเป็นวิธีที่ถูกต้องในการทำงานกับ machine learning เพื่อให้เราสามารถเชื่อถือได้"
ศาสตราจารย์ โปโปวิช วางแผนจะนำโมเดล Enoch ไปใช้กับม้วนหนังสืออื่นๆ และเอกสารโบราณอย่างหนังสือม้วนปาปิรุส (Elephantine Papyri) ที่เขียนด้วยอราเมคโบราณ
แม้การค้นพบครั้งนี้จะชี้ให้เห็นว่าเอกสารบางส่วนในพระคัมภีร์อาจถูกเขียนหลังเหตุการณ์จริง แต่สิ่งนี้ไม่ควรถูกมองว่าเป็นการลดทอนความเชื่อ ทว่าควรเป็นโอกาสในการย้ำว่า พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าอย่างแม่นยำ แม้ข้อความจะถูกบันทึกภายหลังผ่านวัฒนธรรมการเล่าต่อในยุคโบราณ ขณะเดียวกัน การที่เทคโนโลยีเอไอ สามารถวิเคราะห์ต้นฉบับได้อย่างแม่นยำก็ยิ่งหนุนให้เห็นถึงความมั่นคงของพระวจนะ ซึ่งดำรงอยู่ตลอดหลายพันปีโดยไม่เปลี่ยนแปลง ความเข้าใจนี้จะช่วยให้คริสเตียนสามารถยืนหยัดในความเชื่อ และมั่นใจในความจริงของพระวจนะท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยี
ที่มา:
ABC News________________________________________
ติดตาม CGN Thai News ข่าวสารสำหรับคริสเตียนไทย ได้ทาง
Facebook