Dinner with CEOs มื้อค่ำกับผู้บริหารองค์กรระดับประเทศ ข้อคิดที่เปลี่ยนชีวิตจากมุมมองคริสเตียน

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024 ที่โรงแรม Bliston Pare View มีการจัดงาน Dinner with CEOs งานรับประทานอาหารกับผู้บริหารองค์กรระดับประเทศ รับฟ้งข้อคิดที่เปลี่ยนชีวิตจากมุมมองคริสเตียน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ที่มีร่วมแบ่งปัน ได้แก่ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย, คุณมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิสดอม แคปปิตอล พาร์ทเนอร์ส จำกัด, ศ.ดร.พญ.อุไรวรรณ พานิช หัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, คุณบวร กิตติเวทางศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โบวินส์ ซิลเวอร์ จำกัด และ คุณกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)

งานจัดโดยคริสตจักรกิจการของพระคริสต์ รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะส่งมอบให้มูลนิธิเกลือและแสงสว่าง โดยงานนี้มีผู้เข้าร่วม 130 คน โดยมีผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนได้รับเชิญมาร่วมงานทั้งสิ้น 50 คน และมีบูธของ CGN Thai สื่อคริสเตียนที่ผลิตโดยคนไทย มาร่วมออกบูธในงานด้วย

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กล่าวว่า เราไม่ได้เป็นคนหว่าน คนต่างๆ ได้ช่วยกันหวานอย่างมากมายตลอด 30 ปีที่ผ่านมา แต่พระเจ้าได้ประทานโอกาสให้มาเป็นกรรมการผู้จัดการในขณะนี้ แล้วก็ขึ้นไปคุยถึงความสำเร็จ แต่แน่นอนสิ่งที่สำคัญที่พยายามทำก็คือการสดุดีถึงคนที่ได้ร่วมกันสร้างตลาดตราสารหนี้ไทยมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ชวนกันว่าถ้าหากว่าพวกเราร่วมแรงร่วมใจกันทั้ง Regulators ทั้ง Market Players ทั้งพวกเรา 60 คนที่ ThaiBMA ช่วยกันทำ เรายังพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยได้มากกว่านี้อีกมากมาย

ช่วงเวลาปีที่ 1 ของการเป็น CEO ของ บลจ.วรรณ ที่ได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) กับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านของประทานด้านการสอน โดยได้ให้ความรู้ด้านนี้ผ่านช่องทางต่าง ๆ มากมาย

“ประมาณช่วงคริสตมาสอีฟของปี 2006 ผมได้รับโทรศัพท์จาก ดร.เศรษฐพุฒิ บอกว่า คุณได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดการ ETF คนแรกของประเทศไทย สิ่งนี้มาในคริสตมาสที่สอง หลังจากที่ผมได้ทำความรู้จักกับพระเจ้า”

ดร.สมจินต์ เสริมว่า ในฐานะ CEO จะสามารถเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรได้อย่างไร เราทำการศึกษาจนเข้าใจว่ามีจุดอ่อน จุดแข็ง และมีโอกาสตรงไหนที่เราจะแสวงหาได้ ดูระบบนิเวศ พูดคุยกับ ต.ล.ท. หาพาร์ทเนอร์สต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และขอบคุณพระเจ้าที่เรามีเพื่อนที่ดีที่ทำให้ประสบความสำเร็จ และได้เรียนรู้ว่าถ้ายังไม่จบ เราจะยังสู้ต่อไปได้

คุณมนตรี ศรไพศาล ผู้บรรยายคนที่สองกล่าวถึง ดร.สมจินต์ พี่ชายว่า เชื่อพระเจ้ามาแล้วร่วม 20 ปี ที่มีความถ่อมอย่างมาก เป็นคนตัวเล็กๆ ที่บริหารสมาคมตลาดตราสารหนี้ ขนาด 17 ล้านล้าน เป็นเสาหลักเทียบเท่ากับธนาคารและตลาดหุ้น โดยเชื่อว่าเขารอวันที่จะได้รับการเทพระพร ซึ่งในวันคริสต์มาสแรกที่ได้งานที่ บลจ. วรรณ ได้ฟังคำเทศนาถึงพระธรรมโยชูวา บทที่ 1 ที่พระเจ้าตรัสหลายครั้งว่าให้เข้มแข็งและกล้าหาญ เพราะไม่ว่าจะไปที่แห่งใดเราจะอยู่กับเจ้า ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการยกชูของพระเจ้าในการนำความคิดใหม่ๆ ไปรับตำแหน่งนี้

จากนั้นได้กล่าวถึงตนเองในความช่วยเหลือของพระเจ้าในการที่ได้เป็น CEO และเป็น CEO ที่ดีได้อย่างไร โดยได้เล่าถึงสัญญาณจากพระเจ้า ในการทาบทามรับตำแหน่งดังกล่าวโดยคุณโลท์ โพรเม้นท์ ที่ บล.กิมเอ็ง ซึ่งเป็นสิ่งที่อธิษฐานขอมาถึง 10 ปี แต่เมื่อรับตำแหน่งก็พบกับความขัดแย้งภายในองค์มากมาย ทั้งที่เกิดหลังการควบรวมและการลดขนาดเพื่อปรับโครงสร้างองค์กร ที่ทำให้องค์กรขาดความสามัคคี รวมไปถึงการขัดข้องทางเทคนิคมากมาย

“ผมอธิษฐานกับพระเจ้าว่าตอนที่พระเจ้าประทานให้เป็น CEO ที่นี่ ผมนึกว่าพระเจ้ารักผมมากเสียอีก ให้คนมันรักกันกว่านี้ไม่ได้หรือ ให้คอมพิวเตอร์มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือ ให้มีความพร้อมกว่านี้ไม่ได้หรือ แล้วเชื่อไหมครับ ผมสัมผัสได้ว่าพระเจ้าตรัสที่ข้างหูผมว่า ‘ลูกเอ๋ย ถ้างานนี้มันง่ายอย่างนั้น งานนี้มันจะมาถึงเจ้าหรือ’”

คุณมนตรี กล่าวสรุปว่า วิชาที่ใช้มากที่สุดในการบริหารงาน คือไบเบิ้ล และสิ่งที่พยายามคือทำให้เขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รักกันให้ได้ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่มาจากพระเจ้า ซึ่งหลักการของความรักคือเชื่อในส่วนดีของคนอื่นเสมอ ไม่ช่างจดจำความผิด โดยจากที่องค์กรขาดทุน 55 ล้านบาท สามารถพลิกกลับมาเป็นกำไรรวม 130 ล้านบาทเมื่อครบปี

ผู้บรรยายคนที่สาม ศ.ดร.พญ.อุไรวรรณ พานิช ได้เล่าถึงสมัยเรียนที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งมีความฝันเหมือนเด็กทุกคนที่มีเป้าหมายในชีวิตในสำเร็จการศึกษาที่สูง มีงานทำที่ดี มีครอบครัวที่ดี มีลูกที่ดี ซึ่งเป็นเป้าหมายชีวิตขณะนั้น

จากหัวใจที่ว่างเปล่าโดยที่หาคำตอบไม่ได้ ในการค้นหาความหมายของชีวิต ซึ่งในพระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่ามีอยู่ทางเดียวที่เป็นความจริงและเป็นชีวิต ซึ่งวันหนึ่งก็มีเพื่อนรักกันมากได้บอกสิ่งนี้ เลยตัดสินใจต้อนรับพระเยซูขณะที่เรียนที่คณะแพทย์ และได้ไปเรียนต่อจนถึงปริญญาเอกที่ King’s College และกลับมาเป็นนักวิจัย อาจารย์ และทำสารพัดพันธกิจ

“สิ่งที่วรรณเรียนรู้ก็คือว่า พระเจ้าสอนให้วรรณมีเป้าหมายใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ตัวเราและครอบครัว เพราะฉะนั้น เมื่อมีงานมา เป้าหมายเราทำเพื่อความสำเร็จและเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า”

ศ.ดร.พญ.อุไรวรรณ พานิช

ด้านคุณบวร กิตติเวทางศ์ ได้เล่าถึงประวัติการทำงานที่เกิดจากธุรกิจเครื่องเงินของคุณพ่อคุณแม่ และเล่าถึงเรื่องของตนเองที่ได้ตั้งคำถามถึงที่มาของตนเองว่าเกิดมาได้อย่างไร ย้อนไปถึงคำถามที่เก็บไว้ในใจเสมอว่ามนุษย์คนแรกที่เกิดมาได้อย่างไร 

คุณบวรได้เล่าว่า มีเพื่อนที่ชักชวนไปงานประกาศงานหนึ่ง แต่เหตุผลที่ไปร่วมงานเพราะเป็นห่วงเพื่อนกลัวว่าจะถูกหลอก ในงานมีพี่คนหนึ่งเล่าเรื่องพระเจ้าให้ฟัง พร้อมกับถามหลังเล่าจบว่าอยากเชื่อพระเจ้าไหม ซึ่งก็ได้ตอบรับทันทีว่าอยากเชื่อ แต่เป็นคำตอบที่อยากจะเข้าไปปกป้องเพื่อนจากการถูกหลอก ไม่ได้เป็นความเชื่อที่จริงใจ แต่ว่าไม่กี่เดือนต่อมาเพื่อนคนดังกล่าวได้แบ่งปันว่าพบพระเจ้า ก็เกิดความสับสนว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ จึงได้มีโอกาสเริ่มต้นในการอธิษฐานเป็นการส่วนตัวพร้อมกับเริ่มต้นที่จะศึกษาว่าเรื่องราวของพระเจ้าเป็นอย่างไร

คุณบวรได้เล่าว่า นับจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นจากภายใน บางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ พร้อมกับตั้งปณิธานในการเลิกพูดโกหกนับแต่นั้น

มีหลายต่อหลายครั้งที่จะบอกและเล่าประสบการณ์ให้ทุกคนฟังว่าได้พบพระเจ้าจริงๆ มีความจริงบางอย่าง ความรักความอบอุ่นใจบางอย่าง ที่สามารถสัมผัสได้แต่มองไม่เห็น พระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นจริง

“ที่นี่ล่ะที่ประชุมนักธุรกิจ ผมเชื่อว่าท่านเป็นคนที่ดูเรื่องความเสี่ยงเสมอใช่ไหมครับ อะไรคือความเสี่ยงที่จะต้องเดินไปในชีวิตของเรา ถ้าวันนี้ผมบอกท่านว่ามีการลงทุนหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนนิรันดร์กาล ท่านจะลงทุนไหม แม้เราไม่รู้ว่าการลงทุนนี้จะจำสำฤทธิ์ผลไหม มันคือการบริหารความเสี่ยง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะลงทุนก็คือการลงทุนกับชีวิตนิรันดร์ แม้ไม่รู้ว่าสุดท้ายชีวิตจะไปไหน แต่ผมขอจำกัดความเสี่ยง ลงทุนในความเชื่อ ในพระเยซู ถ้าหนึ่งพระองค์มีจริงซึ่งผมเชื่อว่ามีจริงอย่างแน่นอน วันนั้นผมจะเก็บเกี่ยวผลในการลงทุนตลอดชีวิตของผม”

คุณบวร กิตติเวทางศ์

ปิดท้ายในค่ำคืนโดยคุณกอบชัย จิราธิวัฒน์ ที่เริ่มเล่าถึงการเดินในชีวิตที่พยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและหวังผลในระยะยาว และเล่าถึงครอบครัวในวัยเด็ก ที่มีพี่น้องจำนวนมาก และการประชุมแก้ปัญหาธุรกิจของครอบครัวของที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งการประชุมของปู่ ลุง อา และพ่อ เต็มไปด้วยความเครียดและเสียงที่ดัง โดยสิ่งที่ได้ยินบ่อยๆ คือการที่ทุกคนต้องหาเงิน เพราะครอบครัวรุ่นปู่ที่ยากจน ต้องทำเกษตรกรรม ก่อนได้อพยพมาจากไหหลำ ประเทศจีน

ด้วยการที่เห็นปู่และญาติๆ เครียดเรื่องการค้าและการลงทุน จึงคิดว่าการหาเงินอาจไม่ใช่คำตอบของชีวิต จนกระทั่งได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งจากออสเตรเลีย บอกว่าจะฟังเสียงพระเจ้าในการศึกษาต่อ จึงเกิดความแปลกใจตั้งแต่นั้น

“เพื่อนบอกว่าเราทุกคนเนี่ยมีพระเจ้านะ ถ้าเรารู้สึกว่าไม่มีพระเจ้า เวลาที่เราช่วยตัวเองไม่ได้เราจะร้องเรียกฟ้าดินอยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ที่ไหน สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดอยู่ที่ไหน ช่วยเราด้วย จะร้องเรียกตลอด เวลาสบายดีจะไม่คิดถึง”

นอกจากนี้ยังได้เล่าถึงประสบการณ์ขณะที่ไปเรียนที่สหรัฐฯ ในการไปฟังคำพยานของสามีภรรยาชาวกัมพูชาที่อพยพเขมรแดง และได้ฟังคำพยานชีวิตถึงการเอาตัวรอดหลังได้พบพระเยซูในความฝัน จึงได้ตัดสินใจรับเชื่อพระเยซูหลังเรียนจบปริญญาโทที่สหรัฐฯ

“จากที่ได้มาเชื่อพระเยซูคริสต์ ชีวิตเปลี่ยนไปเลยครับ จากคนที่ไปเรื่อยๆ พยายามหาคำตอบ ไม่มีความจริงใจกับใคร ก็ได้ถูกเปลี่ยนแปลงจากพี่น้องที่อยู่ในคริสตจักร

นอกจากนี้ยังได้เล่าถึงเสียงพระเจ้าถึงวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทยปี พ.ศ. 2540 และการทรงนำของพระเจ้าในการทำตามเสียงโดยการซื้อประกันการระเบิดวินาศภัยในช่วงเวลาไม่นานก่อนเหตุความวุ่นวายจากการประท้วงของกลุ่ม นปช. ที่บริษัทเครือเซ็นทรัลไม่ได้ผลกระทบแม้มีเหตุไฟไหม้อาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์

“ทุกๆ ท่าน ผมเชื่อว่าเราทำงานได้ดี เราเป็นคนประสบความสำเร็จ แต่เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าเราจะทำได้ดีขึ้น หลายอย่างจะถูกพระเจ้าเปลี่ยนแปลง จะมีความถ่อมใจ คริสเตียนง่ายมากในการเชื่อพระคัมภีร์ ก็สามารถทำตามได้เรื่อยๆ ก็จะเกิดผลสูงสุด”